แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มุ่งประสงค์บังคับถึงสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่พิพาทกันด้วยคำให้การของจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิเสธว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ โจทก์จะเพิกถอนเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ได้ และมิได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยจะต้องนำสืบ ทั้งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าหากมีการเพิกถอนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินนั้นแล้วย่อมรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วยฉะนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนด ดังนี้ ย่อมหมายความรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวด้วย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยแล้วใส่ชื่อโจทก์ร่วมในโฉนดที่ดิน ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ตามคำฟ้องข้อ ข.(1) และ(4) แล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์มีคำขอให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีศาลชั้นต้นมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่า จำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 1มีสิทธิเฉพาะที่ดินเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นนัดคู่ความมาศาลและพิจารณาแล้วเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ได้ระบุที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทกันไว้ด้วย จำเลยมิได้ให้การคัดค้านถึงสิ่งปลูกสร้างแต่ประการใด จะนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาโต้เถียงในชั้นบังคับคดีไม่ได้ ให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาได้พิพากษาให้ใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินตามคำฟ้องข้อ ข.(1) และ(4) นั้นคลุมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วยหรือไม่ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ข้อ ข.(1) ได้ระบุว่าที่ดินตราจองเลขที่ 723, 724, 725 และ 726 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี)จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตราจองละ 2 ไร่ กับมีเรือน 1 หลังปลูกอยู่ในตราจองเลขที่ 725ประมาณราคารวม 12,500 บาท จำเลยที่ 1 โอนยกให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์2508 และข้อ ข.(4) ได้ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 1993 ตำบลบุคคโล (บางน้ำชล) อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรี (กรุงเทพมหานคร) เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 19 ตารางวา พร้อมด้วยตึกแถวราคาประมาณ 300,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 โอนยกให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่18 มกราคม 2508 และมีคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นด้วย คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงมุ่งประสงค์บังคับถึงสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่ในที่ดินในโฉนดอันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทกันด้วย แต่ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิเสธว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ โจทก์จะเพิกถอนเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ได้แต่ประการใด ทั้งมิได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2จะต้องนำสืบ ประกอบกับสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทดังกล่าวเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าหากมีการเพิกถอนใส่ชื่อโจทก์ในตราจองและโฉนดที่ดินนั้นแล้วย่อมรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วย ฉะนั้น เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามฟ้องข้อ ข. ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้วให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินตราจองและโฉนดตามฟ้องข้อ ข. ดังนี้ย่อมหมายความรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตราจองและโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วย
พิพากษายืน