คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7638/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาความปรากฏว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ก่อนการก่อหนี้คดีนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษายกฟ้องจำเลย มีผลทำให้การยึดทรัพย์เป็นอันยกเลิกเพิกถอนไป แต่หาได้เป็นโมฆะไม่ โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในอัตราร้อยละ3.5 ของจำนวนเงินที่โจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ใช่ตามราคาทรัพย์ที่ยึดเพราะกรณีที่ให้ชำระตามราคาของทรัพย์ที่ยึดนั้นมีความหมายว่าราคาทรัพย์ที่ยึดหากขายได้ก็จะมีจำนวนเท่ากับจำนวนหนี้ที่ต้องชำระตามคำพิพากษา หรือหากมีจำนวนมากกว่าก็ไม่มากเกินไปนัก เพราะมิฉะนั้นแล้วผู้นำยึดอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยึดโดยไม่เหมาะสมกับจำนวนหนี้ที่ผู้นำยึดจะได้รับจากการขายทรัพย์ที่นำยึดนั้นจึงกำหนดให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณีที่ยึดแล้วไม่มีการขายในอัตราร้อยละ 3.5 ของจำนวนเงินที่โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อนางมาลี ปิ่นมณี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาด โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับนางมาลี ระหว่างดำเนินการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีนี้ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีจำนวน 220,461 บาท ไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ดังนั้น ส่วนของคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงตกเป็นโมฆะและไม่ถูกต้องมาแต่ต้น หากโจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์โดยสุจริต ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2เป็นบุคคลล้มละลายมาก่อน และก่อนจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โจทก์ก็ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายแม้แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีระบบตรวจสอบที่ดีกว่าโจทก์ก็ยังไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลาย ขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บจากโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุอันควรที่จะงดเว้นค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 กับโจทก์คดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้ลงประกาศโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาที่ให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายแล้วโดยศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่27 กรกฎาคม 2532 ต่อมาศาลชั้นต้นคดีนี้ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คดีนี้ตามจำนวนที่ระบุในคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์จึงได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 90059 และ 127797แขวงสะพานสูง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างนางมาลี ปิ่นมณี กับจำเลยที่ 2 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2ในคดีล้มละลายยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่สำหรับจำเลยที่ 2ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาใหม่สำหรับจำเลยที่ 2 แล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีผลทำให้การยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 90059 และ 127797 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นอันยกเลิกเพิกถอนไป ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายบังคับคดีจำนวน220,461 บาท ไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บจากโจทก์นี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อขบวนการทางกฎหมายทุกอย่างเกี่ยวกับจำเลยที่ 2ตกเป็นโมฆะแล้วค่าธรรมเนียมในการยึดแล้วไม่มีการขายย่อมตกเป็นโมฆะด้วย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 90059 และ 127797พร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วต่อมาไม่มีการขายแล้วโจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะการยึดทรัพย์ดังกล่าวหาเป็นโมฆะตามที่โจทก์อ้างไม่โจทก์จึงต้องชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ในอัตราร้อยละ3.5 ของจำนวนเงินที่โจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ไม่ใช่ตามราคาทรัพย์ที่ยึดตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเพราะกรณีที่ให้ชำระตามราคาของทรัพย์ที่ยึดนั้นมีความหมายว่าราคาทรัพย์ที่ยึดหากขายได้ก็จะมีจำนวนเท่ากับจำนวนหนี้ที่ต้องชำระตามคำพิพากษา หรือหากมีจำนวนมากกว่าก็ไม่มากเกินไปนักเพราะมิฉะนั้นแล้วผู้นำยึดอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยึดโดยไม่เหมาะสมกับจำนวนหนี้ที่ผู้นำยึดจะได้รับจากการขายทรัพย์ที่นำยึดนั้น จึงกำหนดให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณีที่ยึดแล้วไม่มีการขายในอัตราร้อยละ 3.5 ของจำนวนเงินที่โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดแล้วไม่มีการขายในอัตราร้อยละ 3.5 ของจำนวนเงินที่โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้น นอกจากนี้ที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share