คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7621/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ส. ผู้ที่นำที่ดินมาขายให้แก่จำเลยไม่ใช่ผู้มีสิทธิซื้อที่ดินคืนจากธนาคาร อ. ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของโจทก์และเจ้าของรวม แต่ ส. ใช้สิทธิซื้อที่ดินจากธนาคาร อ. โดยการปลอมลายมือชื่อโจทก์และเจ้าของรวมโดยมิชอบ ส. จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างธนาคาร อ. กับ ส. และระหว่าง ส. กับจำเลยแล้ว ส. จึงไม่มีสิทธินำที่ดินไปขายให้แก่จำเลย จำเลยเป็นผู้ซื้อและรับโอนที่ดินมาจาก ส. ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า ส. ผู้โอนซึ่งได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ ส. ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเช่นเดียวกัน การครอบครองที่ดินของจำเลยสืบสิทธิมาจาก ส. อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมถูกตัดสิทธิไม่ให้นำสิทธิยึดหน่วงมาใช้บังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 241 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีก่อนก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะไปบังคับคดีในคดีดังกล่าวต่อไป โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าวและส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ โดยให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย มิฉะนั้นให้โจทก์รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระเงิน 774,933 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารและส่งมอบการครอบครองที่ดินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 87389 และส่งมอบการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2554 จนกว่าจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร รวมทั้งส่งมอบการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 จนกว่าจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินจำนวน 3,481 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า เดิมนางสงวน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 87389 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 38 ตารางวา ต่อมานางสงวนขายให้โจทก์ เรือโทมนต์ชัย และนางสุพรรณี แล้วโจทก์และเจ้าของรวมร่วมกันจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการกู้ยืมเงินไว้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ต่อมามีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองโดยมีข้อตกลงให้เจ้าของรวมมีสิทธิซื้อคืนได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญา หลังจากทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 1 ปี โจทก์และเจ้าของรวมไปติดต่อขอซื้อที่ดินคืน ธนาคารอาคารสงเคราะห์แจ้งว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นางสงวนไปแล้ว หลังจากนั้นนางสงวนขายต่อให้จำเลยในวันเดียวกันตามความประสงค์ของโจทก์และเจ้าของรวมทุกคน โจทก์ตรวจสอบพบว่ามีการปลอมลายมือชื่อโจทก์และเจ้าของรวมในคำร้องขอใช้สิทธิซื้อที่ดินคืน โจทก์จึงยื่นฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์ นางสงวน และจำเลยต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินระหว่างธนาคารอาคารสงเคราะห์กับนางสงวน และระหว่างนางสงวนกับจำเลย ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 3510/2548 ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนการโอนขายระหว่างธนาคารอาคารสงเคราะห์กับนางสงวนและระหว่างนางสงวนกับจำเลย โดยให้ใส่ชื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นเจ้าของดังเดิม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2554 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขายที่ดินคืนให้แก่โจทก์ในราคา 964,056.61 บาท ส่วนจำเลยยื่นฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์และโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ 4131/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 1183/2556 ขอให้ร่วมกันใช้ราคาที่ดินซึ่งเพิ่มขึ้น ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 2,196,559 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ยังมิได้ชำระค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น 2,196,559 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 1183/2556 จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงที่ดินไว้ได้จนกว่าโจทก์จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ เห็นว่า นางสงวนผู้ที่นำที่ดินมาขายให้แก่จำเลยไม่ใช่ผู้มีสิทธิซื้อที่ดินคืนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของโจทก์และเจ้าของรวม แต่นางสงวนใช้สิทธิซื้อที่ดินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยการปลอมลายมือชื่อโจทก์และเจ้าของรวมโดยมิชอบ นางสงวนจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างธนาคารอาคารสงเคราะห์กับนางสงวน และระหว่างนางสงวนกับจำเลยแล้ว นางสงวนจึงไม่มีสิทธินำที่ดินไปขายให้แก่จำเลย จำเลยเป็นผู้ซื้อและรับโอนที่ดินมาจากนางสงวน ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านางสงวนผู้โอนซึ่งได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนางสงวนไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเช่นเดียวกัน การครอบครองที่ดินของจำเลยสืบสิทธิมาจากนางสงวนอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมถูกตัดสิทธิไม่ให้นำสิทธิยึดหน่วงมาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น 2,196,559 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 1183/2556 ก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะไปบังคับคดีในคดีดังกล่าวต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าเสียหายสูงเกินส่วนนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าเสียหายเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ไม่สมควรที่ศาลฎีกาจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาต้องถือตามค่าเสียหายที่คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 84,000 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาล 1,680 บาท แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 3,659 บาท เกินมา 1,979 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 1,979 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share