แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว กฎหมายบังคับให้คู่สัญญาต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิม การกำหนดค่าของงานที่จะต้องชดใช้แก่กัน มิใช่เป็นค่าตอบแทนหรือค่าเสียหาย แต่เป็นหนทางหนึ่งที่จะสามารถทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ส่วนค่าของงานที่จะชดใช้แก่กันนั้น ก็ต้องพิจารณาจากมูลค่างานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยตามความจริง จะยึดเอาค่าจ้างที่จะต้องชำระตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาที่เลิกกันแล้วมาเป็นหลักเกณฑ์อีกไม่ได้ เพราะค่าจ้างที่กำหนดให้ชำระแก่กันตามสัญญานั้นอาจมีการกำหนดสิ่งที่มิใช่ค่าของงานลงไปด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสี่ บัญญัติว่า การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ และในสัญญาจ้าง ข้อ 20 กำหนดให้จำเลยสามารถเรียกค่าปรับในกรณีที่โจทก์ส่งมอบงานล่าช้าในอัตราวันละ 31,880 บาท แม้จำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้วก็ตาม ดังนั้น โจทก์จึงต้องเสียค่าปรับกรณีส่งมอบงานล่าช้าแก่จำเลย และต้องนำมาหักจากค่าของงานที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ แต่การที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่า จะใช้เงินจำนวนหนึ่ง เมื่อไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควรก็ดี ถือเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรตามมาตรา 383
หนังสือค้ำประกันในวงเงินจำนวน 900,000 บาท เป็นหนังสือค้ำประกันที่โจทก์นำมอบให้แก่จำเลย เพื่อเป็นการปฏิบัติตามสัญญา รวมถึงการประกันความชำรุดเสียหายของงานจ้างที่อาจจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปี นับแต่วันส่งมอบงาน หากไม่มีความเสียหายหรือโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงจะคืนหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์ ทั้งจำเลยยังมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้ธนาคารใช้เงินแก่จำเลยตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยริบเงิน 900,000 บาท มาเป็นการชำระค่าเสียหายแก่จำเลยแล้วไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2539 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ ก่อสร้างอาคารสำนักงานของจำเลยสาขาบ้านโป่ง ในราคา 18,000,000 บาท โดยแบ่งจ่ายค่าจ้างเป็น 7 งวด ตามผลงานที่ระบุไว้ในสัญญา ระหว่างดำเนินงานโจทก์และจำเลยตกลงแก้ไขแบบแปลน ราคา และระยะเวลา แต่งวดงานยังคงเดิม โจทก์ก่อสร้างอาคารให้จำเลยเสร็จ 5 งวด และทำงานงวดที่ 6 ไปบางส่วน แต่จำเลยไม่ชำระค่าจ้างของงานในงวดที่ 5 เป็นเงิน 2,576,000 บาท ทำให้โจทก์ไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ไม่สามารถทำงานได้ภายในกำหนด ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2541 จำเลยบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ แต่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องรับผิดในเงินที่โจทก์ลงทุนไปทั้งหมดเป็นเงิน 12,966,230 บาท หักกับเงินที่โจทก์รับไปแล้ว 7,769,990.23 บาท กับเงินค่าจ้าง ในงวดที่ 5 ที่ยังไม่ได้รับบางส่วน จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 5,196,239.77 บาท นอกจากนี้จำเลยต้องชดใช้เงินค่าจ้างของงานในงวดที่ 6 บางส่วน ค่ามัดจำสี ค่ามัดจำเฟอร์นิเจอร์ กำไรที่โจทก์ควรได้รับ ค่าหนังสือค้ำประกันสัญญา ค่าเสียหายในการดำเนินงานของโจทก์และค่าดอกเบี้ยเงินกู้ลงทุน รวมเป็นเงิน 5,636,670 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 10,832,909.77 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 10,832,909.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาและมีการแก้ไขสัญญากันตามฟ้องจริง โดยลดอาคารที่ต้องก่อสร้างจาก 4 ชั้น เหลือ 3 ชั้น และลดค่าจ้างเหลือ 15,940,000 บาท ลดค่าปรับจากวันละ 36,000 บาท เหลือวันละ 31,880 บาท ส่วนข้อตกลงอื่นให้เป็นไปตามสัญญาฉบับเดิม ซึ่งมีข้อตกลงในกรณีที่โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาว่า ให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และให้บรรดางานที่โจทก์ทำขึ้นทั้งหมดตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์จะเรียกร้องค่าตอบแทนและค่าเสียหายไม่ได้ ต่อมาปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากละทิ้งงานในงวดที่ 6 และงวดที่ 7 จำเลยจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญากับโจทก์ และได้จ่ายเงินในงวดที่ 5 ที่ค้างชำระโดยหักค่าปรับที่โจทก์ส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญาออก แล้วชำระส่วนที่เหลือให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ตามเจตนาของโจทก์ แล้ว จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,921,714.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2539 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารสำนักงานจำเลยสาขาบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในราคา 18,000,000 บาท โดยแบ่งชำระค่าจ้างเป็น 7 งวด ตามผลงานที่ระบุไว้ในสัญญาตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.6 และในการทำสัญญาจ้างดังกล่าวนี้ โจทก์มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารเพื่อเป็นการประกันปฏิบัติตามสัญญาและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นภายหลังการส่งมอบงาน ในวงเงิน 900,000 บาท แก่จำเลย ต่อมาในระหว่างการก่อสร้างงานงวดที่ 3 โจทก์จำเลยตกลงเปลี่ยนแปลงแบบแปลนการก่อสร้างจากอาคารสำนักงาน 4 ชั้น เป็น 3 ชั้น จึงได้ทำสัญญาเพิ่มเติมในส่วนที่เปลี่ยนแปลงโดยลดราคาก่อสร้างเหลือ 15,940,000 บาท กำหนดการชำระค่าจ้างส่วนที่ยังคงต้องชำระแก่กันตั้งแต่งวดที่ 3 ถึงที่ 7 ใหม่ ลดค่าปรับในกรณีส่งมอบงานล่าช้าจากปรับวันละ 36,000 บาท เป็นปรับวันละ 31,880 บาท เงื่อนไขอื่นคงให้เป็นตามสัญญาจ้างฉบับเดิมตามบันทึกต่อท้ายสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.13 หลังจากนั้นโจทก์ทำงานก่อสร้างจนกระทั่งส่งมอบงานในงวดที่ 5 แก่จำเลย แต่เป็นการส่งมอบงานล่าช้าและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ต่อมาจำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.32 จากนั้นจำเลยจึงชำระค่าจ้างในงวดที่ 5 แก่โจทก์ โดยหักค่าปรับที่โจทก์ทำงานล่าช้า 53 วัน เป็นค่าปรับ 1,689,640 บาท หักค่าหม้อแปลงไฟฟ้าที่โจทก์ยังไม่ติดตั้งเป็นเงิน 273,295 บาท ค่าภาษี 24,074.77 บาท คงชำระเงินแก่โจทก์ 588,990.23 บาท ในการรับเงินค่าจ้างโจทก์ทำหนังสือมอบให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเพชรบุรี เป็นผู้มีอำนาจรับแทนโจทก์ ตามหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย จ.26 ถึง จ.28 เมื่อโจทก์ส่งมอบงานในงวดที่ 5 แก่จำเลยแล้ว ในระหว่างรอจำเลยพิจารณาว่าจะชำระเงินในงวดที่ 5 แก่โจทก์ โจทก์ยังคงดำเนินการก่อสร้างงานในงวดต่อไปให้แก่จำเลย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิจะได้รับค่าของงานที่โจทก์ได้กระทำให้แก่จำเลยไปแล้วหรือไม่เพียงใด จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลนำเอาเงิน 900,000 บาท ตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่โจทก์นำมามอบแก่จำเลยมาคิดหักออกโดยถือว่าจำเลยริบเงินดังกล่าวเอาไว้แล้วจึงไม่กำหนดค่าปรับตามสัญญาแก่จำเลย เป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยยังไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้ธนาคารส่งเงินดังกล่าวแก่จำเลย และจำเลยมีเหตุสมควรจะคิดค่าปรับจากโจทก์ในกรณีส่งมอบงานล่าช้าในอัตราวันละ 31,880 บาท ตามสัญญารวม 53 วัน เป็นเงิน 1,689,640 บาท การที่จำเลยชำระเงินค่าจ้างแก่โจทก์ในงานงวดที่ 5 เป็นเงิน 588,990.23 บาท จึงชอบแล้ว ส่วนงานในงวดที่ 6 จำเลยมีสิทธิริบงานของโจทก์ได้ตามสัญญาข้อ 21 โดยมิต้องใช้ค่าของงานแก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 บัญญัติว่า “คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม…ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้…การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ …” ดังนั้น เมื่อสัญญาเลิกแล้ว กฎหมายบังคับให้คู่สัญญาต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิม การกำหนดค่าของงานที่จะต้องชดใช้แก่กันจึงมิใช่เป็นค่าตอบแทนหรือค่าเสียหาย แต่เป็นหนทางหนึ่งที่จะสามารถทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ส่วนค่าของงานที่จะชดใช้แก่กันนั้น ก็ต้องพิจารณาจากมูลค่างานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยตามความจริงจะยึดเอาค่าจ้างที่จะต้องชำระตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาที่เลิกกันแล้วมาเป็นหลักเกณฑ์อีกไม่ได้ เพราะค่าจ้างที่กำหนดให้ชำระแก่กันตามสัญญานั้น อาจจะมีการกำหนดสิ่งที่มิใช่ค่าของงานลงไปด้วยดังจะเห็นได้ว่าในการขอให้จำเลยชดใช้ค่าของงานงวดที่ 5 นั้น โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่า โจทก์ลงทุนก่อสร้างงานงวดที่ 5 เป็นเงิน 1,510,000 บาท เท่านั้น การที่ศาลล่างกำหนดว่างานในงวดที่ 5 มีมูลค่า 2,576,000 บาท อันเป็นค่างวดที่จะต้องชำระตามสัญญามาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ จึงเป็นการกำหนดค่าของงานมากกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องย่อมไม่ชอบ และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งค่าของงานในงวดที่ 5 คงนำสืบต่อสู้เพียงประการเดียวว่าโจทก์ทำงานงวดที่ 5 ไม่เสร็จเพียงรายการเดียว คือ ยังไม่ติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าคิดเป็นค่าของงานเป็นเงิน 273,295 บาท ดังนั้น ค่าของงานในงวดที่ 5 จึงมีมูลค่าเป็นเงินเท่าที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องหักออกด้วยค่าติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า คิดเป็นเงิน 1,236,705 บาท สำหรับงานที่โจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ต่อไปคือค่าของงานในงวดที่ 6 และที่ 7 โจทก์นำสืบว่า โจทก์ลงทุนติดตั้งเพดานอลูมิเนียม 286,670 บาท ค่าจ้างทาสีเพดาน ทำรั้ว ท่อน้ำทิ้ง เป็นเงิน 100,000 บาท และค่ามัดจำค่าทาสี 150,000 บาท โดยชำระค่าสีไปแล้ว จำเลยไม่ได้แย้ง จึงกำหนดให้ตามที่โจทก์นำสืบ ส่วนค่าทำเฟอร์นิเจอร์ แม้โจทก์จะนำสืบว่าได้ชำระค่ามัดจำไปแล้ว แต่ผู้รับทำเฟอร์นิเจอร์มาเบิกความเป็นพยานว่า ยังไม่ได้ติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ จึงกำหนดค่าของงานในส่วนที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ให้ไม่ได้ คงกำหนดให้เฉพาะที่โจทก์ลงทุนไป แล้วเท่านั้น สำหรับงานในงวดที่ 7 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบว่าได้ทำงานใดไปแล้วบ้าง จึงไม่กำหนดให้ ค่าของงานในงวดที่ 6 จึงคิดเป็นเงิน 536,670 บาท รวมค่าของงานที่โจทก์ทำไปทั้งสิ้น 1,773,375 บาท อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยส่งมอบงานล่าช้าเป็นเวลา 53 วัน ก่อนจำเลยบอกเลิกสัญญาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสี่ บัญญัติว่าการใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ และในสัญญาจ้าง ข้อ 20 กำหนดให้จำเลยสามารถเรียกค่าปรับในกรณีที่โจทก์ส่งมอบงานล่าช้าในอัตราวันละ 31,880 บาท แม้จำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้วก็ตาม ดังนั้น โจทก์จึงต้องเสียค่าปรับกรณีส่งมอบงานล่าช้าแก่จำเลย และต้องนำมาหักจากค่าของงานที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ แต่การที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่า จะใช้เงินจำนวนหนึ่ง เมื่อไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควรก็ดีถือเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 คดีนี้โจทก์จำเลยตกลงกันว่า หากโจทก์ส่งมอบงานล่าช้าให้จำเลยมีสิทธิเรียกค่าปรับจากโจทก์ได้ในอัตราวันละ 31,880 บาท โดยไม่ปรากฏว่า ค่าปรับดังกล่าวมีการคิดคำนวณโดยมีหลักเกณฑ์ใดและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายเป็นจำนวนที่แท้จริงเท่าใดแต่ได้ความว่า หลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์แล้ว จำเลยได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นให้ทำงานส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จได้ในราคา 4,900,000 บาท เป็นราคาที่น้อยลงเมื่อเทียบกับราคาที่ว่าจ้างโจทก์อันแสดงว่าโจทก์คิดราคาค่าก่อสร้างที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิคิดค่าปรับจากโจทก์ได้ตามสัญญา ค่าปรับดังกล่าวก็ยังถือว่าสูงเกินสมควร เห็นควรกำหนดให้จำเลยมีสิทธิได้รับค่าปรับวันละ 20,000 บาท รวม 53 วัน คิดเป็นค่าปรับ 1,060,000 บาท ต้องนำค่าปรับหักออกจากค่าของงานของโจทก์ ส่วนที่ศาลล่างนำเงิน 900,000 บาท ตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาคิดคำนวณในการกำหนดค่าของงานโดยวินิจฉัยว่าจำเลยริบเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วนั้น เห็นว่า หนังสือค้ำประกันในวงเงินจำนวน 900,000 บาท ดังกล่าว เป็นเงินที่ระบุไว้ในหนังสือค้ำประกันที่โจทก์นำมอบให้แก่จำเลย เพื่อเป็นการการปฏิบัติตามสัญญา รวมถึงการประกันความชำรุดเสียหายของงานจ้างที่อาจจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปี นับแต่วันส่งมอบงาน หากไม่มีความเสียหายหรือโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงจะคืนหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์ ตามสัญญาว่าจ้าง ข้อ 3 และ ข้อ 6 เอกสารหมาย จ.6 ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยยังมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้ธนาคารใช้เงินแก่จำเลยตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยริบเงิน 900,000 บาท มาเป็นการชำระค่าเสียหายแก่จำเลยแล้วไม่ได้ ดังนั้น เมื่อนำค่าของงานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,773,375 บาท หักออกด้วยเงินค่าปรับ 1,060,000 บาท และเงินค่าก่อสร้างในงวดที่ 5 เป็นเงิน 588,990.23 บาท ที่จำเลยชำระแก่โจทก์แล้ว จำเลยยังคงต้องใช้ค่าของงานแก่โจทก์ เป็นเงิน 124,384.77 บาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลก็ไม่ควรจะกำหนดให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 บัญญัติว่า ความรับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียม ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้ฝ่ายใดเป็นผู้เสียก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดี การที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจไปตามกฎหมาย แต่ในชั้นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยชนะคดีตามฟ้องฎีกาเป็นส่วนใหญ่ จึงเห็นสมควรกำหนดการชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเสียใหม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 124,384.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์เฉพาะส่วนที่เป็นค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลรวม 10,000 บาท