คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7605/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในกรณีที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดนั้น ต้องนำ ป.วิ.พ.มาตรา 57 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ผู้ร้องในฐานะผู้ถือหุ้นมีหน้าที่ต้องชำระค่าหุ้นให้บริษัทจำเลยเต็มมูลค่าของหุ้นที่ถืออยู่เท่านั้น ผู้ร้องไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำ และแม้ผู้ร้องจะเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ด้วยก็ตาม ผลของคำพิพากษาคดีนี้หากพึงมีให้ต้องบังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ ก็หากระทบกระเทือนถึงผู้ร้องให้ต้องร่วมรับผิดด้วยไม่ และหากกรรมการอื่นของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียหายอันกระทบถึงประโยชน์ส่วนได้เสียของผู้ร้องอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องต้องไปว่ากล่าวต่างหาก เพราะเป็นข้อโต้แย้งสิทธิต่างหากจากคดีนี้ ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดีนี้ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีเป็นจำเลยร่วม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 11,682,816.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ในต้นเงิน 7,391,848.23 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 26,685,479.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ในต้นเงิน 16,884,201.11 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงิน 38,368,295.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ในต้นเงิน 24,276,049.34 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งห้า และทรัพย์สินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
ระหว่างที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งห้าเพื่อยื่นคำให้การนั้น นายอ้วนผู้ร้อง ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการคนหนึ่งของบริษัทจำเลยที่ 1 ขณะนี้มีปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจกรรมการจำเลยที่ 1 ที่ถูกต้อง เพราะมีการฟ้องกันตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 370/2542 ของศาลจังหวัดระนอง ระหว่าง บริษัทเชียงใหม่ไอยรา จำกัด กับพวกรวม 3 คน โจทก์ นางสาวศรีดาวจำเลย หากจำเลยที่ 1 ต้องคำพิพากษาคดีนี้ให้รับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง จะทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 และไม่ได้ร่วมต่อสู้คดีด้วยต้องเสียหาย ทำให้ผู้ร้องรับผิดในหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยที่ผู้ร้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลหนี้ตามฟ้อง ผู้ร้องจึงขอเข้าเป็นจำเลยร่วม โดยใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ และไม่เป็นไปในทางการขัดสิทธิเดิมของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นกรรมการหนึ่งในสามคนของบริษัทจำเลยที่ 1 และเป็นเพียงผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในกรณีที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดนั้น ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 และการที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) บัญญัติให้บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจร้องสอดเข้ามาในคดีเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมได้ด้วยเหตุที่ตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้นจะต้องได้ความว่า สิทธิของบุคคลนั้นถูกกระทบกระเทือน คือจะถูกผลของคำพิพากษาบังคับด้วยประหนึ่งว่าได้เป็นคู่ความในคดีโดยตรง แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 22 ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทแล้ว แม้ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็มีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้ร้องและผู้ถือหุ้นคนอื่นที่รวมเข้ากันเป็นบริษัทจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1015 ผู้ร้องในฐานะผู้ถือหุ้นคงมีหน้าที่ต้องชำระค่าหุ้นให้จำเลยที่ 1 เต็มมูลค่าของหุ้นที่ถืออยู่เท่านั้น ผู้ร้องไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำ และแม้ผู้ร้องจะเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ด้วยก็ตาม ผู้ร้องก็ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำในกรอบแห่งวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 เช่นกัน ผลของคำพิพากษาคดีนี้หากพึงมีให้ต้องบังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ ก็หากระทบกระเทือนถึงผู้ร้องให้ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยไม่ และหากกรรมการอื่นของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียหายอันกระทบถึงประโยชน์ส่วนได้เสียของผู้ร้องอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องต้องไปว่ากล่าวต่างหาก เพราะเป็นข้อโต้แย้งสิทธิต่างหากจากคดีนี้ ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดีนี้ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีเป็นจำเลยร่วม ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยและมีคำสั่งยกคำร้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share