คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สิน ของจำเลยก่อนเจ้าหนี้รายอื่นโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีการค้าที่จำเลยค้างชำระอยู่ อันเป็นหนี้บุริมสิทธิเมื่อ ทางพิจารณา ได้ความ ว่า หนี้ค่าภาษีการค้าที่ค้างชำระนั้นเป็นหนี้สามัญ ศาล ก็ ต้อง ยกคำร้อง ของผู้ร้องเสีย โดยไม่ต้องพิจารณาว่าตามคำร้องเป็น กรณี ขอเฉลี่ยทรัพย์ ของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 ด้วยหรือไม่ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในคดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนโดยอาศัยอำนาจแห่ง บุริมสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวน ทุนทรัพย์ ที่เรียกร้อง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1(1) ท้าย ป.วิ.พ..

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้เงินกู้1,385,583.33 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,300,000 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าประจำเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2526, มกราคม -ธันวาคม 2527, มกราคม – กันยายน 2528, ตุลาคม – ธันวาคม 2528 และมกราคม – กันยายน 2529 โดยแสดงรายรับต่ำกว่ารายรับขั้นต่ำที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดไว้ เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งรายการประเมินให้จำเลยที่ 1 นำเงินภาษีการค้าเรียกเก็บเพิ่มเติมไปชำระ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระภายในกำหนด จำเลยที่ 1 จึงต้องเสียเงินเพิ่มอีก และต้องเสียเบี้ยปรับตามกฎหมาย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 96,449 บาทเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2531 ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีการค้าดังกล่าว ซึ่งเป็นหนี้บุริมสิทธิสามัญในมูลค่าภาษีการค้าเหนือทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินค่าภาษีการค้าเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ อันเป็นบุริมสิทธิสามัญเป็นเงิน 96,449 บาท จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น
โจทก์ไม่ยื่นคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนี้ค่าภาษีการค้าค้างชำระของผู้ร้องเป็นหนี้สามัญ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาโดยผู้ร้องไม่โต้แย้งรับฟังเป็นยุติว่าหนี้ค่าภาษีการค้าที่จำเลยที่ 1ค้างชำระแก่ผู้ร้องนั้นไม่เป็นหนี้บุริมสิทธิ เป็นเพียงหนี้สามัญที่ผู้ร้องฎีกาว่า แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะไม่อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระภาษีก่อนเจ้าหนี้รายอื่นแต่ตามคำร้องของผู้ร้องก็พอถือได้ว่าเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ผู้ร้องควรมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีการค้าที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระอยู่ อันเป็นหนี้บุริมสิทธิ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า หนี้ค่าภาษีการค้าที่ค้างชำระนั้นเป็นหนี้สามัญ ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสียโดยไม่ต้องพิจารณาว่าตามคำร้องเป็นกรณีขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ด้วยหรือไม่เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในคดีนี้
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า หากศาลฟังว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290ซึ่งเป็นคดีที่มีคำขออันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ผู้ร้องก็ไม่ควรต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้น เห็นว่า เมื่อคดีได้ความจากการวินิจฉัยในประเด็นก่อนว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อน โดยอาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่คืนค่าขึ้นศาลให้แก่ผู้ร้อง
พิพากษายืน.

Share