คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7584/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นดุลพินิจของศาลถ้าเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นดุลพินิจที่เห็นว่าจำเลยที่ 1 อายุ 19 ปีเศษ รู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้โดยไม่จำต้องกล่าวถึงข้อกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรโดยบรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่เกิดเหตุ และว่ามีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แม้คำฟ้องโจทก์มิได้ระบุโดยชัดเจนว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดและสถานที่กระทำผิดอยู่ที่ใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องระบุถึงสถานที่เกิดเหตุในข้อต่อมาว่าเหตุทั้งหมดเกิดที่ใด และภายหลังเกิดเหตุลักทรัพย์เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลาง และจำเลยได้เป็นคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหายไปโดยทุจริต คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ มิได้หลงต่อสู้ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับนายสุรพลหรือแขก อัญโพธิ์ จำเลยที่ 1ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5432/2542 กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ (ก) ร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยวิธีสุดดมควัน (ข) ตามวันเวลาดังกล่าวมีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1 ห – 7220 ราคา 45,000 บาท ของนายหนูเพียร ปราบภัย ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต่อมาเจ้าพนักงานจับนายสุรพลหรือแขกกับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้ นายสุรพลหรือแขกและจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นระหว่างวันเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 และนายสุรพลหรือแขกได้ร่วมกันรับของโจรรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวของผู้เสียหายไว้โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลอาจสามารถและตำบลหนองขาม อำเภออาจสามารถ และตำบลหนองไผ่ อำเภอธวัชบุรีจังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 335, 357 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยที่ 1 ถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่รับสารภาพว่า เสพเมทแอมเฟตามีน และร่วมกันลักทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุก 4 ปีรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 2 ปี 3 เดือน

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม2522 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 อายุ 19 ปีเศษ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1ประการแรกว่า การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้หยิบยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ขึ้นวินิจฉัยให้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 บัญญัติว่า”ผู้ใดอายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ถ้าศาลเห็นสมควร จะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้”จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเป็นดุลพินิจของศาลถ้าเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นดุลพินิจที่เห็นว่า จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปีเศษ รู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้โดยไม่จำต้องกล่าวถึงข้อกฎหมายดังกล่าวทั้งเมื่อได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีนี้แล้วเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจพิจารณาลงโทษจำเลยที่ 1 เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว

ส่วนปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า “ข. ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ได้มีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 1 ห – 7220 ราคา 45,000 บาท ของนายหนูเพียรปราบภัย ผู้เสียหายไปโดยทุจริต” คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมิได้ระบุโดยชัดเจนว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด และสถานที่กระทำผิดอยู่ที่ใด จึงเป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิด เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ข้อ ข. นอกจากโจทก์จะบรรยายฟ้องดังที่จำเลยที่ 1 อ้างแล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า เหตุเกิดตำบลอาจสามารถ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด และในข้อ ค.ระบุว่า ภายหลังเกิดเหตุลักทรัพย์ เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1ได้พร้อมด้วยรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1เป็นของกลาง และจำเลยที่ 1 ได้เป็นคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหายไปโดยทุจริตคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาได้ดีทั้งจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพมิได้หลงต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

พิพากษายืน

Share