แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (2) จะมิได้แบ่งแยกกำหนดโทษของผู้จัดให้มีการเล่นและผู้เข้าพนันในการเล่นไว้ต่างหากจากกันก็ตาม แต่สภาพแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ การจัดให้มีการเล่นก็โดยเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่น จำเลยที่ 1 ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันอยู่ด้วย เป็นการที่จำเลยที่ 1 มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่นจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหนึ่งร้อยสิบเอ็ดคนตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔ , ๕ , ๖ , ๑๐ , ๑๒ , ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ริบของกลางและให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งหนึ่งร้อยสิบเอ็ดให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหนึ่งร้อยสิบเอ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔ , ๕ , ๖ , ๑๐ , ๑๒ (๒) การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่น จำคุก ๕ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท ฐานเป็นผู้เล่น ปรับ ๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นจำคุก ๕ เดือน ปรับ ๔,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑๑ ลงโทษปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท แม้จำเลยทั้งหนึ่งร้อยสิบเอ็ดให้การรับสารภาพ แต่เนื่องจากเป็นการพนันวงใหญ่จึงไม่ลดโทษให้ แต่ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้มีกำหนด ๓ ปี ให้จำเลยที่ ๑ ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือน เป็นเวลา ๒ ปี กับให้ทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติ (ที่ถูกเป็น พนักงานคุมประพฤติและจำเลย) กำหนดเป็นเวลา ๓๐ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ ให้จำเลยทุกคนจ่ายเงินสินบนนำจับคนละกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ริบของกลางทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ ๑ โดยอธิบดีอัยการเขต ๓ (อัยการพิเศษประจำเขต ๓) ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นและฐานเป็นผู้เล่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียวกัน ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ คงจำคุก ๕ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันชนไก่ขึ้น แล้วจำเลยที่ ๑ เข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑๑ ด้วย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๑๒ (๒) จะมิได้แบ่งแยกกำหนดโทษของผู้จัดให้มีการเล่นและผู้เข้าพนันในการเล่นไว้ต่างหากจากกันก็ตาม แต่สภาพแห่งการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ การจัดให้มีการเล่นก็โดยเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ซึ่งเมื่อจำเลยที่ ๑ จัดให้มีการเล่น จำเลยที่ ๑ ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ ๑ เข้าร่วมเล่นการพนันอยู่ด้วย เป็นการที่จำเลยที่ ๑ มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ ๑ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.