คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ที่เกิดจากการซื้อขายไม้แปรรูปต่าง ๆ อันเป็นสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ขายมีบุริมสิทธิที่จะเอาราคาซื้อขายเหนือไม้แปรรูปนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้น หากปรากฏว่าไม้แปรรูปนี้ได้ถูกนำไปปลูกสร้างเป็นโรงเรือนกลายสภาพจากสังหาริมทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ คือ โรงเรือนไปเสียแล้ว ผู้ขายก็ไม่มีสิทธิที่จะอ้างบุริมสิทธิเหนือโรงเรือนซึ่งปลูกด้วยไม่แปรรูปนั้นแต่อย่างใด

ย่อยาว

เรื่องเดิม โจทก์ชนะคดีจำเลยเรื่องกู้เงิน จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดอาคารโรงเรียน อารีย์วิทยา หนึ่งหลังของจำเลย ขายทอดตลาดได้เงิน ๔,๐๘๕ บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องขออ้างว่าเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ ๗๘/๒๕๐๔ โดยจำเลยซื้อเชื่อไม้แปรรูปจากผู้ร้องเอาไปสร้างโรงเรียนหลังที่ขาดทอดตลาดไป ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๕๙ (๕) , ๒๗๐ มีสิทธิรับชำระหนี้ก่อน จึงขอให้ศาลหักเงินค่าขายทรัพย์ชำระหนี้ ่ให้โจทก์ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
โจทก์คัดค้านว่า หนี้สินระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นหนี้ธรรมดา มีสิทธิเพียงขอเฉลี่ยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คดีปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม้ที่จำเลยซื้อเชื่อจากผู้ร้องนั้น จำเลยเอาไปปลูกเป็นโรงเรียนจึงกลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ไปเสียแล้ว ไม่มีวัตถุสังหาริมทรัพย์ที่จะใช้บุริมสิทธิบังคับเอาได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ในข้อสารสำคัญว่า โรงเรียนอารีย์วิทยาปลูกอยู่ในที่ดินนายวิโรจน์ใครซื้อไปก็ต้องรื้อ รื้อแล้วย่อมกลายเป็นสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นการขายอย่างสังหาริมทรัพย์ มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ผู้ร้องยังมีบุริมสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าไม้ก่อนเจ้าหนี้คนอื่น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม้ที่จำเลยซื้อจากผู้ร้องมาปลูกโรงเรียนกลายเป็นอสังหาริมทรัพย์แล้ว ผู้ร้องมีสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์ก็เอาชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นจากอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ ที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า โรงเรียนปลูกในที่ดินนายวิโรจน์จึงเป็นการขายทอดตลาดอย่างอสังหาริมทรัพย์ นั้ แท้จริงต้องเข้าใจว่า การขายรายนี้ขายโรงเรือนหาใช่ขายไม้แปรรูปของจำเลยไม่ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ ๗๘/๒๕๐๔ นั้นเป็นมูลหนี้ที่เกิดจากการซื้อขายไม้แปรรูปต่าง ๆ อันเป็นสังหาริมทรัพย์แต่จำเลยได้นำวัตถุแห่งหนี้ดังกล่าวนี้มาปลูกสร้างโรงเรือน ทำเป็นโรงเรียนเสียแล้ว ไม่แปรรูปที่จำเลยซื้อเชื่อมาจากผู้ร้องจึงกลายสภาพจากสังหาริมทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ คือ ตัวโรงเรือน ผู้ร้องจะอ้างบุริมสิทธิพิเศษ ตามมาตรา ๒๕๙ (๕) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาได้ไม่ เพราะไม้แปรรูป นั้นได้กลายสภาพเป็น อสังหาริมทรัพย์แล้วและจะอ้างว่าตัวโรงเรือนหลังนี้ปลูกอยู่ในที่ดินนายวิโรจน์ เมื่อรื้อแล้วก็เป็นกองไม้กลายเป็นสังหาริมทรัพย์ ผู้ร้องยังมีบุริมสิทธิอยู่นั้น ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะตัวโรงเรือนถูกยึดและขายทอดตลาดไปทั้งที่ยังมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ ผู้ร้องจึงไม่มีบุริมสิทธิเหนือโรงเรือนนี้แต่อย่างใด ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share