คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7531/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญาซื้อขายต้องนำบทบัญญัติกฎหมายซื้อขายมาใช้บังคับจำเลยที่ 1 เพียงแต่ส่งมอบรถยนต์คันพิพาทโดยยังไม่ส่งมอบเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนแก่จำเลยที่ 2 แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์ให้จนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระราคาครบถ้วน เมื่อจำเลยที่ 2ชำระราคายังไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ยังไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7ฐ-3386 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 1 ขายให้แก่จำเลยที่ 1 เองกับเพิกถอนแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 1 ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบกและแสดงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวดีกว่าจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันยื่นแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และนายสมศักดิ์ ศักดิ์เจริญ เป็นผู้ครอบครอง หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาและให้ร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการดังกล่าวให้ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 622,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7ฐ-3386 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอต่อกรมการขนส่งทางบก กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันยื่นแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์โอเปิล รุ่นแอสตร้า หมายเลขเครื่อง ซี 16 เอสอี 02 วี 66410 หมายเลขตัวถัง ดับบลิวโอแอล 000056พี – 8184920 ต่อกรมการขนส่งทางบกที่รับผิดชอบให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากไม่สามารถจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ไม่ว่ากรณีใด ๆให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 454,537.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน454,537.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์โอเปิลแต่ผู้เดียวในประเทศไทย จำเลยที่ 2 เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ในเขตจังหวัดชลบุรี รถยนต์โอเปิลรุ่นแอสตร้าคันพิพาท เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 2ขายให้แก่โจทก์และในวันเดียวกันนั้น โจทก์ให้นายสมศักดิ์เช่าซื้อไป ต่อมานายสมศักดิ์ผิดสัญญาเช่าซื้อและคืนรถยนต์คันพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา และเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนรถยนต์คันพิพาทต่อกรมการขนส่งทางบกในนามของจำเลยที่ 1 และขายให้แก่จำเลยที่ 1 เอง เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนให้และออกแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์เป็นหมายเลข 7ฐ-3386 กรุงเทพมหานคร

มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใด จำเลยที่ 1 อ้างว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปในราคา 573,000 บาท กำหนดชำระค่าเช่าซื้อให้เสร็จสิ้นภายใน 3 งวดเดือน งวดเดือนละ 191,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.1 เห็นว่า สัญญาดังกล่าวกำหนดระยะเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เพียง 3 งวดเดือน ผิดจากสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.9ที่โจทก์ทำกับนายสมศักดิ์ซึ่งกำหนดระยะเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้ถึง48 งวดเดือน ผิดปกติประเพณีของการเช่าซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เงื่อนไขของกำหนดระยะเวลาในการชำระค่าเช่าซื้อน่าจะเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากกว่าลูกค้าทั่วไปแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งตามเอกสารหมาย จ.9 ยังระบุว่าจำเลยที่ 1ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เงื่อนไขผ่อนชำระเงินเป็น 3 งวดโดยหมายเหตุไว้ด้วยว่า กรรมสิทธิ์ของรถยนต์ยังไม่ได้โอนให้แก่ผู้ซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบถ้วน จึงเชื่อว่านิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าวไม่ใช่ตัวการหรือตัวแทนอันจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทนดังที่โจทก์ฎีกา แต่เป็นสัญญาซื้อขายที่กำหนดเงื่อนไขในการชำระราคาให้ผ่อนชำระเป็น 3 งวด สัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย ล.1 ทำขึ้นโดยเจตนาเพื่ออำพรางสัญญาซื้อขาย จึงต้องนำบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวด้วยการซื้อขายมาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 วรรคสอง การขายรถยนต์คันพิพาทจำเลยที่ 1 ยังไม่ส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์คันพิพาทที่จะต้องใช้เพื่อการจดทะเบียน การซื้อรถยนต์ผู้ซื้อย่อมประสงค์ได้ทั้งตัวรถยนต์รวมทั้งหลักฐานทางทะเบียนว่าตนเป็นเจ้าของด้วย การที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ส่งมอบเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เพียงแต่ส่งมอบรถยนต์คันพิพาทได้อย่างเดียว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 จนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระราคาครบถ้วน เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 ชำระราคาแก่จำเลยที่ 1 ยังไม่ครบถ้วนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทจึงไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 การที่โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 2โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share