แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ศาลจะอนุญาตและรับฟังและจำเลยไม่ผิดสัญญาเช่านั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่เห็นว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นสัญญาเช่าบ้านซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทไม่มีความจำเป็นจะต้องสืบเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนไปเนื่องจากข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้เช่าช่วงจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินที่เช่าซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์โดยมิได้เรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจึงไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลย แม้จำเลยจะถูกพิทักษ์ทรัพย์ในระหว่างพิจารณา จำเลยก็ต่อสู้คดีได้โดยลำพังโดยไม่ต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์แล้วได้นำที่ดินไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วง โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ อันเป็นการผิดสัญญาซึ่งเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดิน อันเป็นคำขอบังคับครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนการกระทำของจำเลยที่ว่านำที่ดินให้ผู้ใดเช่าและเป็นการผิดสัญญาข้อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้องคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้ส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลราษฎร์บูรณะ (บางพึ่ง)อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร และให้ส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคำฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานซึ่งเป็นพยานบุคคลและเอกสารของโจทก์และจำเลยแล้วฟังว่า จำเลยได้นำที่ดินพิพาทไปให้นายเชวง ซิ้มเจริญเช่าช่วง จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่า และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไป ที่จำเลยฎีกาในข้อ ข. ว่า จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยเพิ่งได้รับแจ้งจากจำเลยว่าโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับนายเชวง ซิ้มเจริญ โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาเช่าบ้านเลขที่ 138 หมู่ที่ 7 ตำบลราษฎร์บูรณะอำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ตามสัญญาเช่าลงวันที่1 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งทนายจำเลยทราบหลังจากสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วจึงไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดได้ศาลล่างเห็นว่าพยานหลักฐานที่จำเลยอ้างดังกล่าวไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนไป จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานดังกล่าวเพิ่มเติม แต่จำเลยเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ศาลจะอนุญาตและรับฟังและฎีกาของจำเลยในข้อ ง. ที่ยกเอาคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยแต่ละปากขึ้นมากล่าวอ้างแล้วสรุปว่าพยานจำเลยเบิกความสอดคล้องต้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ประกอบกับหลักฐานสัญญาเช่าที่จำเลยขอระบุเป็นพยานเพิ่มเติมที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตดังกล่าว ในข้อ ข. จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาเช่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อข้างต้นนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่เห็นว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุเป็นพยานเพิ่มเติมนั้นเป็นสัญญาเช่าบ้านซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท ไม่มีความจำเป็นจะต้องสืบ เพราะเอกสารดังกล่าวไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนไป เนื่องจากข้อเท็จจริงฟังยุติมาแล้วว่าจำเลยได้นำที่ดินพิพาทไปให้นายเชวงเช่าช่วง จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อดังกล่าวมาจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนฎีกาจำเลยที่ว่า ศาลเห็นว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยมิได้เรียกค่าเสียหาย จึงให้จำเลยต่อสู้คดีโดยไม่จำต้องเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาในคดีเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้ว เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์โดยมิได้เรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจึงไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลยคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ให้จำเลยต่อสู้คดีได้โดยลำพังนั้นชอบแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วได้นำที่ดินพิพาทไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ อันเป็นการทำผิดสัญญาซึ่งเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่พิพาท อันเป็นคำขอบังคับครบถ้วน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ว่านำที่ดินพิพาทให้ผู้ใดเช่าและเป็นการผิดสัญญาข้อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้องคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน