คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้มีส่วนได้เสียจะคัดค้านการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อมีคำสั่งก่อน ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดจึงจะมีสิทธิร้องขอต่อศาลได้ โจทก์ทั้งสี่เสนอคดีต่อศาลคัดค้านการยึดที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ได้มีการยื่นคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้มีคำสั่งตามขั้นตอนที่กฎหมายลำดับไว้ก่อนไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ล.3/2530 ของศาลชั้นต้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1411 เพื่อขายทอดตลาด โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายในที่ดินดังกล่าวด้วย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1411 ตามส่วนของโจทก์แต่ละคนที่ตกลงสัญญากันไว้ ให้จำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่1411 นอกจากส่วนของโจทก์ทั้งสี่เป็นจำนวน 13 ไร่ 22 ตารางวา และให้จำเลยถอนการยึดที่ดินและแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนแต่ละคน
จำเลยให้การว่า ที่ดินไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสี่ แต่เป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ในคดีล้มละลาย หากโจทก์ทั้งสี่เห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อน การที่โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นเลยทีเดียวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาข้ามขั้นตอน เป็นคำฟ้องที่ศาลไม่ควรรับไว้พิจารณา โจทก์ทั้งสี่รู้ถึงสิทธิเรียกร้องที่ดินคืนจากจำเลยแต่ใช้สิทธิเมื่อพ้นกำหนดอายุความ 10 ปี ฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความในเบื้องต้นว่าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้ฟ้องกลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาวซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2530 และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์กลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาวเด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 กันยายน2530 และเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2531 ผู้แทนโจทก์ในคดีดังกล่าวได้นำเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1411 เลขที่ดิน 412 ตำบลเหล่ายาวอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เนื้อที่ 27 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวาไว้ในคดีล้มละลายดังกล่าว ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2531 ศาลได้พิพากษาให้กลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาวล้มละลาย ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.3/2530 ของศาลชั้นต้น ขณะที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ กลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาวยังไม่พ้นจากภาวะการล้มละลาย
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสี่และคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคดีนี้แล้ว พออนุมานได้ว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของกลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาวผู้ล้มละลาย ถอนการยึดที่ดินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ในคดีล้มละลายดังกล่าวบางส่วนจำนวน 14 ไร่ 3 งาน 38 ตารางวา โดยอ้างว่าที่ดินส่วนที่ขอให้ถอนการยึดดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสี่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดไว้ในคดีล้มละลาย เห็นว่าตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 158 บัญญัติว่า ผู้มีส่วนได้เสียคนใดเห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับคำคัดค้านแล้วให้สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด ผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาสิบสี่วัน นับแต่วันได้ทราบคำสั่งนั้น เมื่อศาลได้รับคำร้องขอไว้แล้วให้ศาลพิจารณา และมีคำสั่งชี้ขาดเหมือนอย่างคดีธรรมดา โดยเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาสู้คดีจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้มีส่วนได้เสียใดจะคัดค้านการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อมีคำสั่งก่อน ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดจึงจะมีสิทธิร้องขอต่อศาลได้ คดีนี้โจทก์ทั้งสี่เสนอคดีต่อศาลคัดค้านการยึดที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ได้มีการยื่นคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้มีคำสั่งตามขั้นตอนที่กฎหมายลำดับไว้ก่อน ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาพิพากษาศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่ชอบแล้ว เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ปัญหาอื่นตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share