คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7498/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงโครงการซื้อที่ดินระหว่างผู้เริ่มโครงการและผู้ลงทุนระบุว่าเป็นโครงการจัดหาซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร โดยมีผู้ร่วมดำเนินการคือโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วม โจทก์และจำเลยร่วมลงทุนเป็นเงิน ส่วนจำเลยเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินที่ซื้อได้ เมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วให้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ออกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันชำระเงินซื้อที่ดินจนถึงวันขายที่ดินได้ และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ หากมีเงินเหลือซึ่งเป็นกำไรก็จะจัดการแบ่งกันในระหว่างผู้ร่วมกันดำเนินการทุกคนดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยและจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน หาใช่เป็นสัญญาร่วมลงทุนไม่ และเมื่อห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยังไม่เลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055,1056 และ 1057 จึงยังไม่ได้จัดการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ร่วมลงทุนในห้างหุ้นส่วนจากหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2532 จำเลยทั้งสองกับโจทก์และผู้มีชื่อได้ตกลงร่วมกันทำโครงการซื้อที่ดินบริเวณบ้านดงมะดะ จังหวัดเชียงรายโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินโครงการซื้อที่ดินจำนวน 3,000 ไร่ โจทก์กับผู้มีชื่อเป็นผู้ออกเงินทุน เริ่มโครงการเดือนสิงหาคม 2532 สิ้นสุดโครงการเดือนเมษายน2533 และกำหนดให้ขายที่ดินที่ซื้อมาได้ภายในไม่เกินเดือนมิถุนายน 2533จำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมที่ดิน ตรวจสอบรังวัดทำแผนที่ และดำเนินการขอออกโฉนดที่ดิน มีข้อตกลงในการแบ่งปันผลประโยชน์ว่า โจทก์จะได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันชำระเงินซื้อที่ดินจนถึงวันที่ขายที่ดินได้ส่วนเงินที่ได้รับจากการขายที่ดินที่เหลือภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเป็นกำไรสุทธินั้น ตกลงกันให้แบ่งแก่โจทก์และผู้มีชื่อในอัตราร้อยละ 60 โดยโจทก์กับผู้มีชื่อตกลงแบ่งกันตามส่วนของเงินที่ลงทุน โจทก์ได้จ่ายเงินลงทุนให้แก่จำเลยทั้งสองแล้ว 2,000,000 บาท ต่อมาเดือนมีนาคม 2533 โจทก์จ่ายเงินลงทุนแก่จำเลยทั้งสองอีก 60,000 บาท หลังจากที่จำเลยทั้งสองได้รับเงินจากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการให้โจทก์ทราบจนกระทั่งเดือนตุลาคม 2534 ซึ่งล่วงเลยกำหนดเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้จัดการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินที่ซื้อมาตามโครงการ รวมทั้งไม่ได้ดำเนินการขายที่ดินตามที่ได้ตกลงสัญญากันไว้ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินที่ซื้อมาตามโครงการแก่โจทก์ หรือให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 2,060,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องชดใช้เงินแก่โจทก์ 2,060,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 809,200 บาท นอกจากนี้หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรสุทธิจากการขายที่ดินตามโครงการจำนวน800 ไร่ ซึ่งจะได้กำไรไม่ต่ำกว่าไร่ละ 4,000 บาท รวมเป็นเงินกำไร 3,200,000 บาทเมื่อโจทก์แบ่งกับผู้มีชื่อแล้ว โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งจากเงินกำไร 1,180,800 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 4,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2532 จำเลยทั้งสอง โจทก์นายสมชาย จิวัจฉรานุกูล และนายพิชิต จุรีเกษ ได้ตกลงเข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดินเพื่อแบ่งปันกำไร ข้อตกลงดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญยังไม่ได้เลิกกันและยังไม่ได้มีการชำระบัญชีโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินลงทุนคืน ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสมชาย วิวัจฉรานุกูลและนายพิชิต จุรีเกษ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยที่ 2ถูกฟ้องล้มละลาย ศาลแพ่งธนบุรีมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 และพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย เมื่อวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2536 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2นายพิชิต และนายสมชายจำเลยร่วมออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อตกลงร่วมทุนของโจทก์กับจำเลยที่ 1และพวกในการซื้อที่ดินบ้านดงมะดะ จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนแต่เป็นสัญญาร่วมลงทุนการซื้อที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และพวกนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น”และมาตรา 1026 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วน” กับวรรคสอง บัญญัติว่า “สิ่งที่นำมาลงหุ้นด้วยนั้น จะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่นหรือลงแรงงานก็ได้” ปรากฏตามสำเนาข้อตกลงโครงการซื้อที่ดินบ้านดงมะดะ จังหวัดเชียงราย ระหว่างผู้เริ่มโครงการและผู้ลงทุนเอกสารหมาย จ.4 ว่า เป็นโครงการจัดหาซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร โดยมีผู้ร่วมดำเนินการคือโจทก์ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมที่ 1 โดยโจทก์ลงทุนเป็นเงิน 2,000,000 บาท จำเลยร่วมที่ 1 ลงทุนเป็นเงิน 1,250,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินที่ซื้อได้ เมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วให้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ออกเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันชำระเงินซื้อที่ดินจนถึงวันขายที่ดินได้และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ หากมีเงินเหลือซึ่งเป็นกำไรก็จะจัดการแบ่งกันในระหว่างผู้ร่วมกันดำเนินการทุกคน ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าในการซื้อที่ดินเพื่อขาย ข้อตกลงดังกล่าวโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 1 เป็นผู้ออกเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ลงแรงงานด้วยประสงค์เพื่อแบ่งกำไรอันจะพึงได้จากการซื้อที่ดินเพื่อขาย ข้อตกลงระหว่างโจทก์ จำเลยร่วมที่ 1 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน หาใช่เป็นสัญญาร่วมลงทุนดังที่โจทก์อ้างไม่ และเมื่อฟังว่าเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน แต่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยังไม่เลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055, 1056 และ 1057 จึงยังไม่ได้จัดการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ร่วมลงทุนในห้างหุ้นส่วนจากหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

พิพากษายืน

Share