แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำ แต่ปัจจุบันติดที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยาวไปทางแม่น้ำ 61.80 เมตร สภาพของที่ดินพิพาทกับที่ดินอื่นซึ่งติดกับที่ดินพิพาทเป็นแนวยาวทอดไปตามริมแม่น้ำหลายกิโลเมตร ที่ดินพิพาทส่วนที่ติดกับที่ดินของโจทก์มีลักษณะเป็นที่ลุ่่ม ต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ จากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นที่ลุ่มขึ้นไปทางทิศเหนือมีลักษณะค่อย ๆ ลุ่ม ลึกลงบางตอนลึกท่วมศีรษะ ส่วนทางด้านทิศใต้ก็เช่นเดียวกัน แต่ลักษณะลุ่มลึกน้อยกว่า เมื่อที่ดินพิพาทและที่ดินที่ทอดเป็นแนวยาวไปตามแนวแม่น้ำนั้น เกิดจากกระแสน้ำได้เซาะที่ดินฝั่งตรงกันข้ามและบริเวณดังกล่าวน้ำไม่ไหลหมุนเวียน ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์กับที่ดินพิพาทเดิมมีลำรางคั่นน้ำท่วมถึงทุกปี แต่ระยะหลังลำรางตื้นเขิน เพราะมีเขื่อนกั้นทำให้น้ำเปลี่ยนทางเดิน เป็นที่งอกยาวไปตามแนวแม่น้ำ ที่ดินพิพาทมิได้เกิดจากการที่น้ำพัดพาเอาดินจากที่อื่นมาทับถมกันที่ริมตลิ่งตามธรรมชาติจนน้ำท่วมไม่ถึงทำให้เกิดที่ดินงอกออกไปจากริมตลิ่งแต่เป็นทางน้ำที่ตื้นเขิน ขึ้นเพราะน้ำเปลี่ยนทางเดิน และเดิมที่ดินพิพาทเป็นเกาะมีลำคลองกั้นกลางระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือและทางทิศใต้มีคลอง แต่ทางราชการได้ปิดกั้นคลองทำให้ลำคลองที่กั้นกลางระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ตั้นเขิน น้ำท่วมไม่ถึง ที่ดินพิพาทจึงไปติดกับที่ดินของโจทก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเดิมสภาพของที่ดินพิพาทเป็นเกาะเมื่อลำรางที่กั้นระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ตื้นเขินและน้ำท่วมไม่ถึง ที่ดินพิพาทจึงติดกับที่ดินของโจทก์ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่ดินที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของที่ดินโจทก์ตามธรรมชาติแต่เป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขิน แล้วขยายเข้ามาติดที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 โจทก์และจำเลยทำหนังสือสัญญากันว่า จำเลยยอมรื้อถอนบ้านเลขที่ 50ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 ของโจทก์และที่งอกริมตลิ่งแม่น้ำแม่กลองของที่ดินดังกล่าวออกไปภายใน 90 วัน นับแต่วันทำสัญญา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามยอมให้โจทก์รื้อถอนและดำเนินการตามกฎหมาย หากมีค่าใช้จ่ายจำเลยยอมชดใช้ให้ตามความเป็นจริง และโจทก์ให้เงิน 100,000 บาทแก่จำเลยเป็นค่ารื้อถอน ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ดินดังกล่าวหากนำออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 3,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารและให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 50 และสิ่งปลูกสร้างอื่นของจำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 และที่งอกริมตลิ่งของที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน3,000 บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ไม่ชำระเงิน 100,000 บาท ให้จำเลย กลับจะให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 50 และบ้านไม่มีเลขที่อีก 1 หลัง ของบุคคลภายนอกซึ่งอยู่นอกที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 จำเลยจึงไม่สามารถปฏิบัติตามได้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ดินที่ปลูกบ้านทั้ง 2 หลังเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินและไม่ใช่ที่งอกริมตลิ่งของที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 เนื้อที่261 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินดังกล่าวติดกับที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ 1 งาน 68 ตารางวา จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทมาประมาณ 30 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญากันว่า จำเลยยอมรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 และที่งอกของที่ดินดังกล่าวภายใน 90 วัน นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลย 100,000 บาท ตามหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.11 จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 แล้วแต่ไม่ได้รื้อถอนบ้านเลขที่ 50 และบ้านอีก 1 หลัง ซึ่งปลูกในที่ดินพิพาท ตามแผนที่พิพาทและภาพถ่ายหมาย จ.14 ออกไปจากที่ดินพิพาท
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 34870 ทางด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำแม่กลองที่ดินพิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 34870 ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยต้องรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า ตามแผนที่พิพาทและสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 34870 เอกสารหมาย จ.2 เดิมที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำแม่กลองแต่ปัจจุบันทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ติดที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยาวไปทางแม่น้ำแม่กลอง 61.80 เมตร สภาพของที่ดินพิพาทกับที่ดินอื่นซึ่งติดกับที่ดินพิพาทเป็นแนวยาวทอดไปตามริมแม่น้ำแม่กลองหลายกิโลเมตร บางแห่งมีลักษณะเป็นเนินสูงบางแห่งต่ำ ที่ดินพิพาทส่วนที่ติดกับที่ดินของโจทก์มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ จากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นที่ลุ่มขึ้นไปทางทิศเหนือซึ่งไปทางคลองบางสองร้อยจะมีลักษณะค่อย ๆ ลุ่มลึกลงไปจนกระทั่งบางตอนลึกท่วมศีรษะ ส่วนทางด้านทิศใต้ซึ่งไปทางคลองเจ็กก็เช่นเดียวกัน แต่ลักษณะลุ่มลึกน้อยกว่าจากสภาพของที่ดินพิพาทดังกล่าว โจทก์และนางอุไร จันทร์พุ่ม พยานโจทก์เบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโจทก์แต่นายสุรินทร์ ระนาดแก้ว พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าที่ดินพิพาทและที่ดินที่ทอดเป็นแนวยาวไปตามแนวแม่น้ำแม่กลองนั้นเกิดจากกระแสน้ำได้เซาะที่ดินฝั่งตรงกันข้ามและบริเวณดังกล่าวน้ำไม่ไหลหมุนเวียนส่วนทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์กับที่ดินพิพาทเดิมมีลำรางคั่น น้ำท่วมถึงทุกปีแต่ระยะหลังลำรางตื้นเขินเพราะมีเขื่อนกั้นที่ปากคลองบางสองร้อยและคลองเจ็กทำให้น้ำเปลี่ยนทางเดิน จึงเป็นที่งอกยาวไปตามแนวแม่น้ำแม่กลองจากคำเบิกความของนายสุรินทร์ดังกล่าว แสดงว่าที่ดินพิพาทมิได้เกิดจากการที่น้ำพัดพาเอาดินจากที่อื่นมาทับถมกันที่ริมตลิ่งตามธรรมชาติจนน้ำท่วมไม่ถึงทำให้เกิดที่ดินงอกออกไปจากริมตลิ่งแต่ที่ดินพิพาทเป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขินขึ้น เพราะน้ำเปลี่ยนทางเดินนายสุรินทร์เป็นผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทและที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตปกครอง นายสุรินทร์ย่อมทราบประวัติและความเป็นมาของที่ดินดังกล่าวดี ทั้งคำเบิกความก็มีเหตุผล ส่วนโจทก์และนางอุไรเบิกความลอย ๆ จึงมีน้ำหนักน้อย คำเบิกความของนายสุรินทร์น่าเชื่อกว่าคำเลิกความของโจทก์และนางอุไร นอกจากนี้คำเบิกความของนายสุรินทร์ยังเจือสมกับคำเบิกความของพยานจำเลยด้วยว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นเกาะมีลำคลองกั้นกลางระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือมีคลองบางสองร้อยทางทิศใต้มีคลองเจ็ก ทางราชการได้ปิดกั้นคลองบางสองร้อยและคลองเจ็ก จึงทำให้ลำคลองที่กั้นกลางระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ตื้นเขิน ต่อมาน้ำท่วมไม่ถึงที่ดินพิพาทจึงไปติดกับที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเดิมสภาพของที่ดินพิพาทเป็นเกาะ เมื่อลำรางที่กั้นระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของโจทก์ตื้นเขินและน้ำท่วมไม่ถึงที่ดินพิพาทจึงติดกับที่ดินของโจทก์ พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของที่ดินโจทก์ตามธรรมชาติแต่เป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขินขึ้นเพราะกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินเมื่อลำรางที่กั้นระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินโจทก์ตื้นเขินและน้ำท่วมไม่ถึงลำรางที่ตื้นเขินจึงติดกับที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขินขึ้นแล้วขยายเข้ามาติดที่ดินของโจทก์ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษายืน