แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีที่โจทก์ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ได้ระบุไว้แล้วว่าที่ดิน ที่โจทก์ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีเนื้อที่เท่าใดทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่อ อย่างไร โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่ เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของ กรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ กรมที่ดินจำเลยจึงต้องจดทะเบียน แบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามจำนวนเนื้อที่ดิน ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 ประกอบด้วย กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3) วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและระเบียบบริหารราชการของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2528 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 722 ตำบลกาหลง อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่จำนวน 35 ตารางวา ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 ของศาลชั้นต้น วันที่ 11 พฤษภาคม 2529 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ออกจากโฉนดเลขที่ 722 จำนวนเนื้อที่ 35ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดที่ดินเสร็จสิ้นแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินออกจากโฉนดเลขที่ 722 ให้โจทก์ได้ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยโจทก์ได้ตกลงขายที่ดินที่ขอออกโฉนดไว้เนื้อที่35 ตารางวา ให้แก่ผู้อื่นไว้ในราคา 80,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ จำนวนเนื้อที่ 35 ตารางวาออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 722 ตำบลกาหลง อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร เป็นของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายโดยคิดเป็นดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวน 80,000 บาทอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะจดทะเบียนแบ่งแยกและออกโฉนดที่ดินเป็นของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ของโจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนของเด็กหญิงสนม ทองเปรมหรือดาวเรือง ทั้งหมดการจดทะเบียนจึงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497ข้อ 8(3) วรรคสอง โจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของเด็กหญิงสนมโดยการครอบครองปรปักษ์ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครได้ดำเนินการให้โจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นและตามคำขอของโจทก์ครบถ้วนแล้วการที่โจทก์จะขอให้แบ่งแยกที่ดินจากโฉนดเลขที่ 722ออกเป็นเนื้อที่จำนวน 35 ตารางวา และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนดเป็นการเกินกว่าคำสั่งของศาลและเกินกว่าอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจจะปฏิบัติให้ได้ แต่หากโจทก์ประสงค์ที่จะดำเนินการดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์จะต้องให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดทุกคนไปยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เจ้าพนักงานที่ดินจึงจะดำเนินการให้ได้การที่เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ไม่ใช่ข้อผูกพันที่จะต้องออกโฉนดแบ่งแยกให้โจทก์เสมอไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกโฉนดเลขที่ 722ตำบลกาหลง อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครและออกโฉนดให้โจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 495/2528 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 722 ตำบลกาหลง อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวา มีชื่อเด็กหญิงสนม ทองเปรม กับพวกรวม 11 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน รายละเอียดปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2528 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินส่วนของเด็กหญิงสนมในโฉนดที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวาทิศเหนือจดคลองนาขวาง ยาวประมาณ 6 วา ทิศใต้จดทางเดินในโฉนดยาวประมาณ 7 วา 1 ศอก ทิศตะวันตกจดที่ดินส่วนของนายชื้น ยาวประมาณ 6 วา ทิศตะวันออกจดคลองในโฉนดยาวประมาณ 4 วา ตกเป็นของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 รายละเอียดปรากฏตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 ของศาลชั้นต้นมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1ต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 35 ตารางวา ดังฟ้องของโจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 ของศาลชั้นต้นได้ระบุไว้แล้วว่าที่ดินจำนวน 35 ตารางวา ที่โจทก์ได้มาโดยครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น ทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่ออย่างไร โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 35 ตารางวา ตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ จึงเห็นว่าจำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่35 ตารางวา ดังฟ้องของโจทก์ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 78 ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497ข้อ 8(3) วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน