คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 3 จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เป็นอำนาจบริหารงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ในตำแหน่งประธานศาลฎีกา และไม่มีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และองค์คณะซึ่งมีอำนาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามกฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไป โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติดังกล่าวของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2539 จ. นำร่างคำพิพากษาศาลฎีกาไปให้โจทก์ดู และปรากฏจากสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ 11 มีนาคม 2539 แสดงว่าคำพิพากษาศาลฎีกาได้ถูกเรียงเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลฎีกาได้เรียงคำพิพากษาศาลฎีกาเสร็จสิ้น ดังนั้น แม้จะไต่สวนคำร้องคัดค้านและได้ความดังคำคัดค้านก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาและคำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และองค์คณะได้ดำเนินและเรียงเสร็จสิ้นก่อนโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเสียไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 13 วรรคสอง การไต่สวนคำร้องคัดค้านจึงไม่อาจจะทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 ไม่ไต่สวนคำร้องคัดค้านของโจทก์และสั่งรวมไว้ในสำนวนไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ , ๙๑ , ๑๕๗ , ๑๖๔
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายสำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายยรรยงหรือไม่ เห็นว่า การจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หรือไม่ เป็นอำนาจบริหารงานในหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ และไม่มีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และองค์คณะซึ่งมีอำนาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามกฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไป โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติดังกล่าวของจำเลยที่ ๓ โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจนำการกระทำดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ ๓
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ไต่สวนคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาและองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งของโจทก์ เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๙ นายจริงชัย เชาวเลิศสกุล นำร่างคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่งไปให้โจทก์ดู และปรากฏสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องฎีกาว่า คำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๙ แสดงว่า คำพิพากษาศาลฎีกาได้ถูกเรียงเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๙ และวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๙ อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลฎีกาได้เรียงคำพิพากษาศาลฎีกาเสร็จสิ้น ดังนั้น แม้จะไต่สวนคำร้องคัดค้านและได้ความดังคำคัดค้านก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาและคำพิพากษาที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และองค์คณะได้ดำเนินและเรียงเสร็จสิ้นก่อนโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเสียไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๓ วรรคสอง การไต่สวนคำร้องคัดค้านจึงไม่อาจจะทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ ๓ ไม่ไต่สวนคำร้องคัดค้านและสั่งรวมไว้ในสำนวนไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share