คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้พานางสาวนฤมล ผู้เสียหายอายุ 16 ปีซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยไปเพื่อการอนาจาร โดยข่มขืนใจให้ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ในบ้านพักของจำเลย และต่อมาจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายในภาวะที่ผู้เสียหายไม่สามารถขัดขืนได้ ทั้งจำเลยได้พรากผู้เสียหายอายุ 16 ปี ไปเสียจากนายมนัสผู้เป็นบิดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ทั้งนี้เพื่อการอนาจารและจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ที่บ้านพักของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 310, 318, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4, 9พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 7
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 318 วรรคท้าย, 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปี รู้รับผิดชอบดีแล้ว ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ให้ลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก1 ปี รวมจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 (ที่ถูกคือมาตรา 319 วรรคแรก)ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 310 ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายไปและอยู่กับจำเลยที่บ้านพี่สาวจำเลยด้วยความสมัครใจของผู้เสียหายเอง มิได้ถูกจำเลยใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใดจำเลยจึงมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 15 ปีเศษ กำลังย่างเข้าสู่วัยสาวและอยู่ในวัยรุ่นราวเกือบคราวเดียวกันกับจำเลยไปเสียจากบิดาของผู้เสียหายโดยพากันไปอยู่ที่บ้านพี่สาวจำเลยซึ่งอยู่ในป่าห่างจากบ้านบิดาของผู้เสียหายถึง 10 กิโลเมตร เป็นเวลาหลายวันโดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างอื่น ดังนี้การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าระหว่างอยู่ด้วยกันถูกจำเลยลูบคลำจับหน้าอกกับอวัยวะเพศและขอร่วมประเวณีด้วยนั้นจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน จำเลยกับผู้เสียหายนอนอยู่ด้วยกันเพียงสองคนเนื่องจากพี่สาวจำเลยไม่ได้อยู่บ้านผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันบ้านผู้เสียหายอาศัยที่ดินของมารดาจำเลยปลูกอยู่ หากเรื่องไม่เป็นความจริงแล้ว ผู้เสียหายคงไม่กล้าเบิกความให้ร้ายจำเลยและทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียไปได้ ฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share