คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้องเพราะจำเลยยื่นคำขอเมื่อพ้น 15 วัน นับแต่วันทราบคำบังคับ จำเลยอุทธรณ์ เห็นว่าคำขอของจำเลยได้แสดงเหตุที่ขาดนัดและเหตุที่ยื่นคำขอล่าช้ามาโดยละเอียดพอสมควรแล้ว แต่ในข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลหาได้กล่าวมาโดยละเอียดชัดแจ้งไม่ จึงพิพากษายืน จำเลยจึงมายื่นคำขอพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยบรรยายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นด้วย ดังนี้ คำขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นในครั้งหลังก็ต้องอยู่ในบังคับแห่งกำหนดเวลาตามมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเช่นเดียวกับฉบับแรก เมื่อปรากฏว่าพนักงานเดินหมายส่งคำบังคับให้แก่จำเลยวันที่ 14 กันยายน 2521 และคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับหลัง จำเลยอ้างว่า ศ. ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับจำเลยและเป็นผู้รับหมายไว้แทนเพิ่งมอบคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2521 แม้กรณีที่จำเลยอ้างว่าเพิ่งทราบคำบังคับจะถือได้ว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวก็ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยทราบคำบังคับ จำเลยมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ฉบับหลังเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2522 จึงพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง คำร้องดังกล่าวจึงต้องห้ามตามมาตรา 208 ส่วนการที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับแรกโดยไม่บรรยายข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลไม่ชอบด้วยมาตรา 208 วรรคท้าย จนศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องไปแล้วนั้น ก็เป็นความผิดพลาดบกพร่องของจำเลยเอง ไม่อาจถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ที่จะขยายระยะเวลาให้จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้อีก

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำภู หมายเลข บี แอล ๒๐๐๔๖๓๐ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง โจทก์นำส่งคำบังคับไปยังจำเลยเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๑ โดยมีผู้รับไว้แทนจำเลย ต่อมาวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๑ จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลย ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำขอของจำเลยได้แสดงเหตุที่ขาดนัดและเหตุที่ยื่นคำขอล่าช้ามาโดยละเอียดพอสมควรแล้ว แต่ในข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลหาได้กล่าวมาโดยละเอียดชัดแจ้งไม่ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ที่ถูกเป็น “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง”) มาตรา ๒๐๘ วรรคท้าย พิพากษายื่นคำสั่งศาลชั้นต้น
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๒ จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเช่นเดียวกับคำขอให้พิจารณาใหม่ฉบับแรก (ฉบับลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๑) ว่าจำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ เนื่องจากจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และได้รับพระราชอภัยโทษเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๑ ระหว่างที่จำเลยต้องโทษไม่มีผู้ใดอยู่ในบ้านจำเลย จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อได้รับคำบังคับ นายศิระเป็นผู้รับคำบังคับและมอบให้จำเลยเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๑ แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ฉบับหลังนี้จำเลยบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นด้วย ศาลชั้นต้นสั่งคำขอให้พิจารณาใหม่ฉบับหลังว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น และทั้งคดีก็ขาดอายุฎีกาแล้ว จำเลยยื่นคำขอขึ้นมาใหม่จึงเป็นการร้องซ้ำให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่และยื่นเมื่อพ้นกำหนดแล้ว เป็นการฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๔ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้อีกหลังจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องฉบับแรกของจำเลยแล้ว เพราะไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๑๔๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นครั้งหลังนี้ก็ต้องอยู่ในบังคับแห่งกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๐๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเช่นเดียวกับฉบับแรกกล่าวคือต้องยื่นภายใน ๑๕ วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษา หรือคำสั่งให้แก่จำเลย และถ้าไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในระยะเวลาดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ก็ต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานเดินหมายได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๑ โดยนายศิระซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับจำเลยเป็นผู้รับไว้แทน และตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับหลังจำเลยอ้างว่า นายศิระเพิ่งมอบคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๑ จำเลยจึงได้ทราบว่าโจทก์ฟ้องคดีและศาลพิพากษาไปแล้ว ดังนี้ แม้กรณีที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเพิ่งทราบคำบังคับจะถือได้ว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวก็ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยได้ทราบคำบังคับ คือ วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๑ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับหลังต่อศาลในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๒ จึงพ้นกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงคำร้องดังกล่าวจึงต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๘ ส่วนการที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับแรกโดยไม่บรรยายข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลอันเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา ๒๐๘ วรรคท้าย จนศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องไปแล้วนั้น ก็เป็นความผิดพลาดบกพร่องของจำเลยเอง ไม่อาจถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกหนือไม่อาจบังคับได้ที่จะขยายระยะเวลาให้จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้อีก ศาลฎีกาเห็นด้วยกับผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย
พิพากษายืน

Share