แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฮ.ฟ้องอ.และบ.เป็นจำเลยว่าฮ.อ. บ.เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน ขอให้บังคับให้ อ. และบ. แบ่งที่ดินส่วนของ ฮ.ให้แก่ฮ. บ. จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของ บ. แต่ผู้เดียว ส่วนอ. จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แล้วกลับเป็นโจทก์ฟ้องบ. เป็นคดีอีกสำนวนหนึ่งว่า อ.บ.และฮ. ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมา ที่ บ. ให้การในคดีแรกว่าที่พิพาทเป็นของ บ. แต่ผู้เดียวนั้นเป็นการรบกวนสิทธิของ อ.อ. จึงขอให้พิพากษาแบ่งที่พิพาทให้แก่อ.หนึ่งในสามส่วนดังนี้บ.จะหาว่าการที่อ.ฟ้องตนนั้นเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
ย่อยาว
นายเฮงโจทก์ฟ้องเป็นสำนวนแรกว่า โจทก์ นางกวย และนายอัมพรจำเลยเป็นเจ้าของร่วมมีส่วนเท่ากันในที่ดินพิพาท นางกวยตายนายเบ๊จำเลยเป็นผู้รับมรดก โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งให้โจทก์จำเลยไม่ยอมแบ่ง ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามส่วน
นายเบ๊จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของนายเบ๊จำเลยแต่ผู้เดียว ขอให้ยกฟ้อง
นายอัมพรจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
เมื่อสืบพยานโจทก์ในสำนวนแรกนี้หมดแล้ว นายอัมพรจำเลยจึงยื่นฟ้องนายเบ๊จำเลยเป็นคดีอีกสำนวนหนึ่ง ว่าตน นายเบ๊ กับนายเฮง(โจทก์คดีแรก) ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมา เมื่อนายเฮงฟ้องตนกับนายเบ๊ นายเบ๊ให้การว่าที่พิพาทเป็นของนายเบ๊แต่ผู้เดียวที่ให้การดังนี้เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของตน จึงขอให้ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินเป็น 3 ส่วนให้ตนได้ 1 ส่วน
นายเบ๊จำเลยให้การต่อสู้คดีหลังนี้ว่า ที่พิพาทเป็นของนายเบ๊แต่ผู้เดียวอีก และว่านายอัมพรโจทก์ทราบคำให้การของนายเบ๊ในคดีแรกนั้นแล้ว ก็มิได้โต้แย้ง การที่มาฟ้องตนในคดีหลังนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะขาดนัดยื่นคำให้การในคดีที่นายเฮงฟ้อง
คู่ความขอให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทแก่ผู้รับมรดกความของนายเฮง นายอัมพร และนายเบ๊ ให้ได้คนละ 1 ส่วน ถ้าแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน
นายเบ๊จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเบ๊จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ว่านายอัมพรใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต เพราะในคดีที่นายเฮงฟ้องนายอัมพรกับนายเบ๊นั้น นายอัมพรขาดนัดยื่นคำให้การไม่ใช้สิทธิต่อสู้คดี ครั้นสืบพยานโจทก์หมดแล้ว นายอัมพรกลับมาฟ้องนายเบ๊เป็นอีกคดีหนึ่ง เป็นโอกาสให้นำพยานฝ่ายโจทก์เข้าสืบเพิ่มเติมได้อีกนั้น เห็นว่านายอัมพรถือว่าตนมีสิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ส่วนหนึ่งเช่นเดี่ยวกับนายเฮง การที่นายเฮงฟ้องของแบ่งที่พิพาทจึงตรงกับความประสงค์ของนายอัมพรด้วย แต่จะร้องสอดขอเป็นโจทก์ร่วมก็ไม่ได้ เพราะถูกนายเฮงฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนายเบ๊อยู่แล้วแต่เมื่อนายเบ๊ให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนายเบ๊แต่ผู้เดียวเป็นการโต้แย้งสิทธิของนายอัมพร ๆ ก็ชอบที่จะฟ้องนายเบ๊ขอให้แบ่งที่ส่วนของตนได้ และในการสืบพยาน นายอัมพรจะอ้างและสืบพยานคนใดก็ได้ ทั้งนายเบ๊มิได้คัดค้านการที่ศาลสั่งรวมพิจารณาพิพากษาแม้พยานโจทก์ในสำนวนแรกจะสืบเสร็จไปแล้ว นายอัมพรก็สืบพยานของตนเพิ่มเติมได้ เพราะมิใช่เป็นโจทก์ร่วมในสำนวนแรก ฎีกาของนายเบ๊จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน