แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องจำเลยหาว่านำไม้หวงห้ามเคลื่อนย้ายโดยมิได้รับอนุญาตและไม่มีใบเบิกทางของเจ้าพนักงาน จนจำเลยได้รับโทษ คดีถึงที่สุดแล้วเมื่อปรากฏว่าขณะที่จำเลยกระทำผิดในคดีก่อนนั้นจำเลยก็มีไม้ของกลางนั้นไว้ในครอบครอง โดยไม่มีตราค่าภาคหลวงอยู่แล้ว แต่โจทก์ไม่ฟ้องจำเลยในฐานมีไม้ไม่มีตราค่าภาคหลวงในคราวนั้นด้วย ครั้นเมื่อคดีก่อนนั้นถึงที่สุดดังกล่าวแล้วโจทก์จะกลับมาฟ้องจำเลยว่า มีไม้หวงห้ามของกลางนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่มีตราค่าภาคหลวงตามวันเวลาเดียวกับที่หาว่า จำเลยกระทำผิดในคดีก่อนอีกเป็นกรรมเดียวกัน จึงเป็นเรื่องฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบังอาจมีและรับไม้สักอันเป็นไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูป และไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษ และริบไม้ของกลาง
จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว ได้ความว่า ไม้ของกลางรายนี้จำเลยได้เคยถูกฟ้องว่า นำเคลื่อนย้ายโดยมิได้รับอนุญาต และไม่มีใบเบิกทางของเจ้าพนักงาน จำเลยต้องรับโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ขึ้นอีก หาว่าจำเลยได้กระทำผิดมีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีตราค่าภาคหลวง ตามวันเวลาเดียวกับที่หาว่าจำเลยกระทำผิดในคดีก่อนศาลฎีกาเห็นว่าเป็นกรรมเดียวกันเพราะในคดีก่อนความก็ปรากฏอยู่ว่าจำเลยมีไม้ของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่มีตราค่าภาคหลวงอยู่แล้วแต่โจทก์หาได้ฟ้องร้องในฐานนี้ด้วยไม่ จึงเป็นเรื่องฟ้องซ้ำต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง