คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7350/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันภัยทางทะเลที่ทำขึ้นนั้น เมื่อประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณี จึงต้องวินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4เมื่อกรมธรรม์ทำเป็นภาษาอังกฤษ จึงควรถือกฎหมายของอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไป ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความให้ผู้เอาประกันภัยนำเรือไปตรวจสภาพ และปฏิบัติตามคำแนะนำให้ซ่อมแซมเรือ ตามกฎหมายอังกฤษข้อความดังกล่าวเป็นคำรับรองของผู้เอาประกันภัย เป็นคำมั่นสัญญาที่ผู้เอาประกันต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด และไม่จำต้องมีข้อความต่อท้ายว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติแล้วผู้รับประกันภัยจะหลุดพ้นความรับผิด ผู้เอาประกันภัยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยก่อนนำเรือออกทะเล เมื่อเรืออับปางที่ต่างประเทศ ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดการที่บริษัทรับประกันภัยต่อได้จ่ายเงินให้จำเลยในรูปสินไหมกรุณา ซึ่งเป็นเงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แม้จะมีความเห็นว่าผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขในกรมธรรม์โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองจึงไม่อาจเข้ารับช่วงทรัพย์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2526 นางสาวนภาลัยปาสาทิกา ได้จำนองเรือยนต์ไว้แก่โจทก์เป็นประกันหนี้วงเงินจำนอง7,500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ต่อมามีการโอนกรรมสิทธิ์เรือดังกล่าวให้แก่บริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัดบริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัด ได้เอาประกันภัยความเสียหายไว้กับจำเลยในวงเงินจำนวน 4,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 29 พฤศจิกายน 2529ระหว่างอายุกรมธรรม์ประกันภัยเรือเกิดประสบอุบัติเหตุที่เมืองแจมบี้ ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินที่รับประกันภัยไว้ โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวในฐานะผู้รับจำนอง จำเลยไม่จ่ายให้โจทก์ กลับจ่ายให้บริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 4,000,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากไม่บรรยายฟ้องว่าลูกหนี้ตามสัญญาจำนองเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนเท่าไรถึงกำหนดชำระเมื่อใดมีการเรียกร้องและบังคับชำระหนี้เอาแก่ลูกหนี้แล้วหรือไม่อย่างไร โจทก์ไม่ใช่ผู้รับจำนองเรือ นางสาวนภาลัย ปาสาทิกาไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวบังคับจำนองและฟ้องบังคับจำนองเรือรุ่งทวี จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยบริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัด ไม่นำเรือไปตรวจสภาพกับบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และดำเนินการซ่อมแซมตามที่บริษัทดังกล่าวแนะนำภายใน 30 วัน ก่อนที่จะนำเรือไปบรรทุกสินค้า อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยต่างประเทศมาให้บริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัด ในรูปสินไหมกรุณา คือชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โดยที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด และโจทก์สามารถบังคับเอาจากซากเรือเป็นเงิน 286,000 บาทได้ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินประกันภัยจากจำเลยได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับประกันภัยทางทะเลเรือรุ่งทวีจากบริษัทรุ่งศิรินาวี จำกัด ผู้เอาประกันภัยจำเลยนำสืบว่าเนื่องจากเรือรุ่งทวีเป็นเรือเก่ามีอายุการใช้งานเกิน 15 ปีแล้วบริษัทยูไนเต็ดอินเดีย จำกัด ผู้รับประกันภัยต่อในประเทศสิงคโปร์ต้องการให้มีเงื่อนไขตรวจสภาพเรือโดยบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และข้อแนะนำต่าง ๆจะได้รับการปฏิบัติตามภายใน 30 วัน เมื่อจำเลยได้แจ้งเงื่อนไขดังกล่าวให้ผู้เอาประกันภัยทราบ ผู้เอาประกันภัยตกลงรับเงื่อนไขนี้จำเลยจึงได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัย เมื่อเรือรุ่งทวีเกิดอุบัติเหตุอับปางในแม่น้ำเมืองแจมบี้ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จำเลยตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยไปตรวจสภาพกับบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และดำเนินการซ่อมแซมตามที่บริษัทดังกล่าวแนะนำภายใน 30 วัน ก่อนที่จะนำเรือไปบรรทุกสินค้า เงื่อนไขที่ว่านี้ได้ระบุไว้เป็นภาษาอังกฤษในกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งคำแปลของโจทก์มีว่า “รับประกันว่าเงื่อนไขซึ่งสำรวจโดยมารีนเซอร์เวเยอร์ส์(ประเทศไทย) จำกัด และคำแนะนำจะเป็นไปภายใน 30 วัน นับจากวันเริ่มต้น ” ส่วนคำแปลของจำเลยมีว่า “รับรองว่าการสำรวจสภาพโดยบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และข้อแนะนำต่าง ๆ จะได้รับการปฏิบัติตามภายใน 30 วัน นับจากวันเริ่มต้น”คำแปลทั้งสองฝ่ายจึงมีความหมายว่า ผู้เอาประกันภัยได้รับรองที่จะให้บริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตรวจสภาพของเรือและจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทดังกล่าวภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มคุ้มครองคือวันที่การประกันภัยเริ่มมีผลบังคับปัญหาจึงมีว่า ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้วหรือไม่ จำเลยมีนางกานดา สุโกศล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการของจำเลย และนายพิชิต เมฆกิตติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและกรรมการของบริษัทเซ็คจวิค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นนายหน้าประกันภัยต่อเบิกความต้องกันว่า หลังจากทราบเหตุจากผู้เอาประกันภัยว่าเรือรุ่งทวีเกิดอุบัติเหตุอับปาง จำเลยได้มีหนังสือให้ผู้เอาประกันภัยส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยกับรายงานการตรวจสภาพเรือและคำแนะนำให้ซ่อมแซมเรือของบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด เพื่อพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยส่งมอบเฉพาะกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยเท่านั้น จำเลยได้สอบถามไปยังบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว ได้รับแจ้งว่าผู้เอาประกันภัยไม่ได้ดำเนินการซ่อมแซมเรือตามที่ได้แนะนำจำเลยจึงได้แจ้งให้ผู้เอาประกันภัยและบริษัทยูไนเต็ดอินเดีย จำกัดผู้รับประกันต่อทราบโดยผ่านบริษัทเช็คจวิค (ประเทศไทย) จำกัดเห็นว่า เมื่อผู้เอาประกันภัยแจ้งความสูญเสียของเรือรุ่งทวีแก่จำเลยและจำเลยได้ขอหลักฐานการตรวจสภาพของเรือและคำแนะนำของบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว ถ้าจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเพื่อสิทธิประโยชน์ที่ผู้เอาประกันภัยจะพึงได้รับจากกรมธรรม์ประกันภัย ผู้เอาประกันภัยย่อมจะมีต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามที่จำเลยต้องการอย่างแน่นอน และเมื่อจำเลยได้มีหนังสือถึงผู้เอาประกันภัยขอชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,700,000 บาท ในรูปEx gratia payment หรือสินไหมกรุณาซึ่งเป็นเงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่าผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยก็ตามและเป็นจำนวนน้อยกว่าที่ได้เอาประกันภัยไว้ถึง 1,300,000 บาทผู้เอาประกันภัยก็เต็มใจยอมรับเงินจำนวน 2,700,000 บาท โดยมิได้โต้แย้งว่า ผู้เอาประกันภัยมิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในข้อดังกล่าวตามกรมธรรม์ประกันภัย อีกทั้งข้อนำสืบของโจทก์มิได้แสดงให้เห็นว่าผู้เอาประกันภัยมิได้ฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวด้วย ข้อนำสืบของจำเลยจึงเป็นหลักฐานเพียงพอที่ฟังได้ว่า ผู้เอาประกันภัยได้ฝ่าฝืนเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุให้ผู้เอาประกันภัยนำเรือรุ่งทวีไปตรวจสภาพของเรือรุ่งทวีโดยบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และข้อแนะนำต่าง ๆจะได้รับการปฏิบัติตามภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มคุ้มครองคือวันที่การประกันภัยเริ่มมีผลบังคับ ส่วนปัญหาที่ว่าการที่ผู้เอาประกันภัยฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้จำเลยผู้รับประกันภัยปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยได้หรือไม่เห็นว่า ประกันภัยรายนี้เป็นสัญญาประกันภัยทางทะเล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยทะเลท่านให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล” แต่กฎหมายทะเลของประเทศไทยยังหามีไม่ ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฏ จึงต้องวินิจฉัยคดีเรื่องประกันภัยทางทะเลตามหลักกฎหมายทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 กรมธรรม์ประกันภัยทางทะเลรายนี้ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ จึงควรถือกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อเทียบเคียงวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล 1906 ของประเทศอังกฤษ (The Marine Insurance Act 1906)เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความเป็นคำรับรอง (Warranty)ของผู้เอาประกันภัยว่า เรือจะได้รับการตรวจสภาพโดยบริษัทมารีนเซอร์เวเยอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และจะปฏิบัติตามคำแนะนำภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มคุ้มครองคือวันที่การประกันภัยเริ่มมีผลบังคับ พระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล 1906 ของประเทศอังกฤษมาตรา 33 บัญญัติถึงสภาพของการรับรองว่า
(1) การรับรองให้หมายถึง การรับรองที่เป็นคำมั่น กล่าวคือเป็นคำรับรองของผู้เอาประกันภัยว่าตนรับที่จะให้หรือไม่ให้การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ หรือว่าเงื่อนไขบางอย่างจะต้องสำเร็จขึ้น หรือรับรองว่าภาวะข้อเท็จจริงโดยเฉพาะบางอย่างมีอยู่หรือมิได้มี
(2) การรับรองอาจจะเป็นไปโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย
(3) การรับรองดังที่นิยามไว้ข้างต้นเป็นเงื่อนไขซึ่งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นอย่างตรงที่สุด ไม่ว่าการรับรองนั้นจะมีสาระสำคัญต่อการเสี่ยงภัยหรือหาไม่ ถ้าหากไม่มีการปฏิบัติตามเช่นว่านั้น ผู้รับประกันภัยเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดนับจากวันที่การรับรองถูกละเมิด ฯลฯ
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าข้อความที่เป็นคำรับรองของผู้เอาประกันภัยในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นคำมั่นสัญญาของผู้เอาประกันภัยที่จะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัดคำรับรองดังกล่าวมิใช่เป็นข้อแนะนำให้นำเรือไปตรวจสภาพและไม่จำต้องมีข้อความต่อท้ายว่าถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ต้องปฏิบัติแล้ว ผู้รับประกันภัยจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันภัย เมื่อเรือรุ่งทวีเกิดอุบัติเหตุอับปางตามรายงานการสำรวจของสมาคมกู้เรือประเทศสิงคโปร์ แม้ว่าได้ระบุถึงสาเหตุการสูญเสียของเรือรุ่งทวีว่า เรือออกเดินทางจากแม่น้ำเมืองแจมบี้โดยมีการทรงตัวทางขวาที่ไม่เพียงพอและในระหว่างแล่นไปตามกระแสน้ำเรือมีแรงมากกว่าการทรงตัว จึงทำให้น้ำไหลเข้าห้องเครื่องยนต์และเกิดล่มลงในเวลาต่อมา ก็ตาม ดังนั้นเมื่อเรือรุ่งทวีเกิดการสูญเสีย จะเกิดจากการที่ผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามคำรับรองหรือไม่ก็ตาม แต่เรือที่เอาประกันภัยต้องมีสภาพพร้อมออกทะเลในการเผชิญกับภัยที่จะต้องประสบอยู่เป็นปกติธรรมดาในการเดินทาง การที่ผู้เอาประกันภัยเริ่มฝ่าฝืนคำรับรองซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้เอาประกันภัยต้องปฏิบัติ จำเลยผู้รับประกันภัยย่อมปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยได้ และไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองเรือรุ่งทวีจึงไม่อาจเข้ารับช่วงทรัพย์ที่จะเรียกร้องเงินประกันภัยอันเป็นค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์ฟ้องได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share