แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ต. กระชากมือดึงผู้เสียหายเข้าไปในห้องทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อ ต. ออกจากห้อง จำเลยก็เข้าไปในห้องทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อ และเมื่อจำเลยออกจากห้อง ต. กับ ป. พวกของจำเลยก็พากันเข้าไปในห้องร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก พฤติการณ์การข่มขืนกระทำชำเราเช่นนี้ แม้ว่าผู้กระทำมิได้อยู่ในห้องในขณะที่คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราอยู่ แต่จำเลยกับพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกัน จึงเป็นการสมคบกันกระทำความผิด อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 310
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 276 วรรคสอง (เดิม)),310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม), 310 วรรคแรก เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแก่จำเลยเพียงบทเดียว จำคุก 4 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ข้อหาความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์กับจำเลยรับกันและไม่ฎีกาโต้แย้งกันฟังในเบื้องต้นว่า นางประมวล มารดาของนางสาวสุภาพร ผู้เสียหาย ได้พาผู้เสียหายซึ่งขณะนั้นอายุ 16 ปีเศษ ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า ถูกจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา เหตุเกิดที่หอพัก เจพี คอร์ด ห้องที่ 2 หนองผาซอย 3 ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พนักงานสอบสวนได้ส่งผู้เสียหายให้แพทย์ตรวจร่างกาย รุ่งขึ้นเวลาเช้าแพทย์ประจำโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้วพบว่ามีรอยช้ำที่ริมฝีปากล่าง รอยถลอกที่หัวนมข้างซ้าย อวัยวะเพศภายนอกไม่มีบาดแผล เยื่อพรหมจารีมีรอยฉีกขาดเก่า มีน้ำเมือกในช่องคลอดเล็กน้อย พบเชื้ออสุจิในช่องคลอด บริเวณปากมดลูกมีรอยถลอกเล็กน้อยมีเลือดออกจาง ๆ แพทย์ลงความเห็นว่าน่าเชื่อว่าเกิดจากการร่วมประเวณี ต่อมาจำเลยเข้ามอบตัว พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามบันทึกรับมอบตัวแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา แต่รับว่าได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจริงโดยผู้เสียหายยินยอม โจทก์และจำเลยฎีกา โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยฎีกาว่า ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และจำเลยไปพร้อมกันว่า จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 16 ปีเศษ และกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ได้เบิกความถึงพฤติการณ์ขณะที่ถูกจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งเบิกความถึงรายละเอียดของการถูกจำเลยกับพวกแต่ละคนกระทำการข่มขืนกระทำชำเราอย่างไรบ้าง ซึ่งยากแก่การที่จะปรุงแต่งขึ้น หากมิได้เกิดขึ้นจริงย่อมเป็นการผิดวิสัยที่หญิงสาวจะปั้นแต่งเรื่องที่ตนถูกชายหลายคนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนอย่างร้ายแรงขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลยกับพวก นอกจากนี้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 17 นาฬิกาเศษ ห้องเกิดเหตุมีแสงสว่างลอดเข้าไปสามารถมองเห็นจำเลยกับพวกได้ ทั้งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้นั่งพูดคุยกับจำเลยและพวกมาก่อนด้วย วันเกิดเหตุผู้เสียหายแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ระบุชื่อเล่นของจำเลยกับพวกเท่าที่ทราบพร้อมทั้งแจ้งตำหนิรูปพรรณทันที จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามความจริง ประกอบกับจำเลยนำสืบถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุเจือสมกับคำเบิกความของผู้เสียหาย ทั้งรับว่าได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจริง เพียงแต่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายให้ความยินยอม ซึ่งข้ออ้างของจำเลยนี้ได้ความจากทางนำสืบจำเลยว่า จำเลยไม่เคยรู้จักผู้เสียหายมาก่อน เพิ่งจะรู้จักกับผู้เสียหายก่อนเวลาเกิดเหตุเพียงครู่เดียว และการที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเข้าไปในห้องเกิดเหตุพบผู้เสียหายออกมาจากห้องน้ำ จำเลยได้พูดคุยกับผู้เสียหายเพียง 1 ถึง 2 นาที ผู้เสียหายก็ยินยอมร่วมประเวณีด้วยนั้น นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ขัดต่อเหตุผลที่หญิงสาวซึ่งเพิ่งจะได้รู้จักกับชายหนุ่มจะยินยอมร่วมประเวณีด้วยเพียงการที่ได้พูดคุยกัน 1 ถึง 2 นาทีเท่านั้น จำเลยยกข้อกล่าวอ้างขึ้นต่อสู้อย่างลอย ๆ โดยไม่มีพยานอื่นใดสนับสนุน ทั้งข้ออ้างก็ผิดปกติวิสัยและขัดต่อเหตุผล จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานโจทก์เท่าที่นำสืบมามีน้ำหนักแน่นแฟ้นรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย และจากพฤติการณ์ที่รับฟังได้ว่า การที่นายตูนพวกของจำเลยพาผู้เสียหายไปหานางสาวปรียาภรณ์ที่ห้องเกิดเหตุ เมื่อเคาะประตูห้องเรียก ขณะที่นางสาวปรียาภรณ์กับนายบู้เปิดประตูห้องออกมา นายตูนก็กระชากมือดึงผู้เสียหายเข้าไปในห้องทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อนายตูนออกจากห้องเกิดเหตุจำเลยก็เข้าไปในห้องทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อ และเมื่อจำเลยออกจากห้องน้ำ นายตูนกับนายเป้พวกของจำเลยก็พากันเข้ามาในห้องร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก พฤติการณ์การข่มขืนกระทำชำเราเช่นนี้ แม้ว่าผู้กระทำมิได้อยู่ในห้องในขณะที่คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราอยู่ แต่จำเลยกับพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกัน จึงเป็นการสมคบกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า กำหนดโทษที่ลงเป็นอัตราโทษขั้นต่ำสุดและเมื่อลดโทษแล้วจำคุก 10 ปี กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น