แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยขุดหลุมทำให้ถนนที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลุมที่จำเลยทั้งสองขุดอยู่ในเขตถนนสาธารณะที่โจทก์ฟ้องแล้วไม่ว่าหลุมนั้นจะอยู่ที่ไหล่ถนนฝั่งเดียวกันตามที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือทั้งสองข้างถนนดังที่กล่าวในฟ้องก็เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทั้งสิ้นและข้อแตกต่างดังกล่าวก็หาใช่ข้อสารสำคัญและจำเลยหลงต่อสู้ไม่เพราะจำเลยยอมรับว่าขุดหลุมตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าไม่เป็นความผิดเพราะไม่ใช่ถนนสาธารณะเท่านั้น
การกระทำเพราะความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ผู้กระทำจะต้องอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือเพื่อให้ผู้กระทำหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ แต่การขุดหลุมของจำเลยทั้งสองเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะเพื่อไม่ให้น้ำท่วมต้นข้าวเมื่อฝนตกมาเท่านั้น ขณะจำเลยกระทำการดังกล่าวฝนยังไม่ตก น้ำยังไม่ท่วมต้นข้าวของจำเลยจึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำเป็นต้องกระทำ ทั้งเมื่อฝนตกมากและน้ำท่วมต้นข้าวของจำเลย จำเลยก็สามารถใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากนาได้ การกระทำของจำเลยหาใช่ความจำเป็นตามกฎหมายไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขุดถนนที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๐, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๐, ๘๓ จำคุกและปรับจำเลยทั้งสองโดยให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้คนละ ๒ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองแต่ละคนไม่เกิน ๕ ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๘ จำเลยทั้งสองฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าหลุมทั้งสองหลุมที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขุดทำลายอยู่บนไหล่ถนนฝั่งเดียวกันและอยู่ในเขตถนนสาธารณะสายวังเย็น – วังกะจะ จำเลยทั้งสองขุดหลุมดังกล่าวเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะ มิฉะนั้นเมื่อฝนตกมากน้ำจะท่วมนาทำให้ข้าวตาย คดีมีปัญหาตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า ตามฟ้องระบุว่าหลุมที่จำเลยทั้งสองขุดอยู่ทั้งสองข้างถนน แต่ในทางพิจารณาข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า หลุมดังกล่าวอยู่บนไหล่ถนนฝั่งเดียวกัน เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันขุดหลุมทำให้ถนนสายวังเย็น- วังกะจะ ซึ่งเป็นถนนที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย จำเลยทั้งสองยอมรับว่าขุดถนนตามที่โจทก์ฟ้อง คงต่อสู้แต่เพียงว่า หลุมดังกล่าวอยู่ในที่ดินของนางเผือกไม่ได้อยู่ในเขตถนนสาธารณะ ตามฟ้องเป็นเรื่องโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพราะขุดหลุมทำให้ถนนสาธารณะเสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลุมที่จำเลยทั้งสองขุดอยู่ในเขตถนนสาธารณะที่โจทก์ฟ้องแล้ว ไม่ว่าหลุมนั้นจะอยู่ที่ไหล่ถนนฝั่งเดียวกันตามที่ปรากฏในทางพิจารณา หรือทั้งสองข้างถนนดังที่กล่าวในฟ้อง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทั้งสิ้น และข้อแตกต่างดังกล่าวก็หาใช่ข้อสารสำคัญและจำเลยทั้งสองหลงต่อสู้ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ เพราะจำเลยยอมรับว่าขุดหลุมตามที่โจทก์ฟ้องแต่ต่อสู้ว่าไม่เป็นความผิดเพราะไม่ใช่ถนนสาธารณะเท่านั้น ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสุดท้ายตามที่จำเลยทั้งสองฎีกามีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความจำเป็น อันไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำเพราะความจำเป็นตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ผู้กระทำจะต้องอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือเพื่อให้ผู้กระทำหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ แต่การขุดหลุมของจำเลยทั้งสองเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะเพื่อไม่ให้น้ำท่วมต้นข้าวเมื่อฝนจะตกมากเท่านั้น ขณะจำเลยกระทำการดังกล่าวฝนยังไม่ตก น้ำยังไม่ท่วมต้นข้าวของจำเลย จึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำเป็นต้องกระทำ ทั้งเมื่อฝนตกมากและน้ำท่วมต้นข้าวของจำเลย จำเลยก็สามารถใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากนาได้ การกระทำของจำเลยหาใช่ความจำเป็นตามกฎหมายไม่ ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีก
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมาชอบแล้วฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.