แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลย และมอบให้จำเลยครอบครองทำกินในที่พิพาท โดยทำสัญญาขายฝากกันเองมิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน สัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะกำหนดเวลาไถ่เขียนขึ้นภายหลังโดยโจทก์ไม่รู้เห็น การที่จำเลยเคยบอกให้โจทก์ซื้อคืน แต่โจทก์ก็ไม่ซื้อและโจทก์ไม่เคยมาพูดถึงเรื่องที่พิพาทเลย ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ แม้จำเลยจะทำกินนานเพียงใด หรือเป็นผู้เสียภาษีสำหรับที่พิพาทก็หาได้สิทธิครอบครองไม่ เพราะถือว่าเป็นการกระทำแทนโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกคืนได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องวางเงิน 10,000 บาท ให้จำเลยรับไปก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2510 โจทก์ได้ขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลยและมอบให้จำเลยครอบครองทำกินในที่พิพาท โดยทำหนังสือสัญญาขายฝากกันเอง มิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ดังนั้นสัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ สำหรับกำหนดเวลาไถ่ซึ่งนำสืบโต้เถียงกันนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า น่าจะเขียนขึ้นภายหลังโดยโจทก์ไม่รู้เห็นเพราะสีของน้ำหมึกใหม่กว่ากันเห็นได้ชัด การที่จำเลยได้รับมอบให้ทำกินในที่พิพาทจึงเท่ากับเป็นการได้รับมอบให้ยึดถือที่พิพาทในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ จำเลยจะได้สิทธิครอบครองต่อเมื่อได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ปัยหาวินิจฉัยจึงมีว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือหรือไม่
ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของจำเลยโดยตลอดแล้ว คงปรากฏในคำเบิกความของจำเลยเพียงว่า จำเลยเคยบอกให้โจทก์ซื้อที่พิพาทคืนแต่โจทก์ก็ไม่ซื้อคืนและเมื่อโจทก์กลับจากจังหวัดกำแพงเพชร โจทก์ก็ไม่เคยมาพูดถึงเรื่องที่พิพาทเลยเพียงเท่านี้ศาลฎีกาเห็นว่า ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทว่าจำเลยจะยึดถือเพื่อตนเอง ฉะนั้นไม่ว่าจำเลยจะทำกินในที่พิพาทนานเท่าไร หรือแม้จำเลยจะเป็นผู้เสียภาษีสำหรับที่พิพาท จำเลยก็หาได้สิทธิครอบครองไม่เพราะถือว่าเป็นการกระทำแทนโจทก์”
พิพากษายืน