คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7334/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องจริง แต่ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ เนื่องจากจำเลยและ ท. มารดาโจทก์ ไม่มีเจตนาที่จะให้มีผลผูกพันกันเป็นการต่อสู้ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ แต่จำเลยไม่ได้อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่าที่จำเลยและ ท. ไม่มีเจตนาให้มีผลผูกพันกันเป็นเพราะเหตุใด แม้จำเลยจะกล่าวอ้างมาในคำให้การว่า จำเลยมีฐานะทางการเงินดีกว่า ท. ก็ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดจำเลยและ ท. จึงทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโดยจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาก็เป็นการสืบนอกคำให้การ ต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา 87 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยกู้ยืมเงิน ท. และรับเงินกู้แล้วตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นทายาทของนางทองใบเจ้ามรดก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนางภัทธมนเป็นผู้จัดการมรดกของนางทองใบ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2537 จำเลยกู้ยืมเงินนางทองใบ 1,000,000 บาท โดยจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ครบกำหนดชำระคืนในวันที่ 1 มกราคม 2538 แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยเพียง 5 ปี ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 750,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,750,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยให้การว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องจริง แต่ไม่ได้รับเงินกู้เนื่องจากจำเลยและนางทองใบไม่มีเจตนาผูกพันกันตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ทำขึ้น จำเลยมีฐานะทางการเงินดีกว่านางทองใบ จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยต้องกู้ยืมเงินนางทองใบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ใ ห้
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของนางทองใบ นางทองใบถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2546 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนางภัทธมนเป็นผู้จัดการมรดกของนางทองใบ จำเลยลงลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2537 ระบุว่าจำเลยกู้ยืมเงินนางทองใบไปจำนวน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยได้รับเงินกู้แล้วในวันทำสัญญา กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนภายในวันที่ 1 มกราคม 2538 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยให้การว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องจริงแต่ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ เนื่องจากจำเลยและนางทองใบไม่มีเจตนาที่จะให้มีผลผูกพันกันตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ทำขึ้น คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการต่อสู้ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ แต่จำเลยไม่ได้อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่าที่จำเลยและนางทองใบไม่มีเจตนาให้มีผลผูกพันกันตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ทำขึ้นนั้นเป็นเพราะเหตุใด แม้จำเลยจะกล่าวอ้างมาในคำให้การว่า จำเลยมีฐานะทางการเงินดีกว่านางทองใบ ก็ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดจำเลยและนางทองใบจึงทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินกันขึ้นโดยจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบแม้จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณา ก็เป็นการสืบนอกคำให้การ ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินนางทองใบและรับเงินกู้แล้วตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสามตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,750,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสามกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท

Share