คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7333/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ถูกกล่าวหาอ้างตนเองว่าเป็นอัยการและหลอกลวงผู้กล่าวหาในบริเวณศาลชั้นต้น ทั้งมีการรับเงินกันที่โรงอาหารซึ่งอยู่ภายในบริเวณศาลชั้นต้น แม้เหตุจะมิได้เกิดขึ้นต่อหน้าศาลแต่ก็เกิดในบริเวณศาล การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษผู้ถูกกล่าวหาได้โดยหาจำต้องดำเนินการทางพนักงานสอบสวนไม่
การที่ศาลจะออกข้อกำหนดใด ๆ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 30 ได้จะต้องเป็นกรณีที่เห็นจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็วด้วย แต่การออกข้อกำหนดแก่ผู้ถูกกล่าวหา ห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลชั้นต้นตามคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ปรากฏว่ากระทำเพื่อให้กระบวนพิจารณาเรื่องใดดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว กรณีจึงไม่ต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 30 ในอันที่ศาลจะพึงออกข้อกำหนดแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยแพ้คดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔๗/๒๕๓๖ ของศาลชั้นต้น เรื่องที่ดินโดยจำเลยเป็นผู้กล่าวหาร้องเรียนต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้กล่าวหามีความประสงค์จะยื่นฎีกา จึงเดินทางมาที่ศาลชั้นต้นเพื่อหาทนายความและเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งอ้างตนเองว่าเป็นอัยการพร้อมกับมอบนามบัตรให้และจะจัดการเรื่องคดีให้ โดยตกลงค่าใช้จ่าย ค่าทนายความและค่าธรรมเนียมศาลเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท หากแพ้คดีจะคืนเงินให้ ผู้ถูกกล่าวหารับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากผู้กล่าวหาที่บริเวณโรงอาหารหลังศาลชั้นต้น แล้วผู้ถูกกล่าวหาเขียนสัญญากู้เงินให้ผู้กล่าวหาไว้ และติดต่อให้นายชุมพล สว่างพลกรัง เป็นทนายความในชั้นฎีกาให้ นายชุมพลบอกให้ผู้กล่าวหานำเงินมาเสียค่าธรรมเนียมศาล ผู้กล่าวหาจึงบอกให้ผู้ถูกกล่าวหานำเงินมาเสียค่าธรรมเนียมศาล แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมเสีย ผู้กล่าวหาจึงเสียค่าธรรมเนียมศาลเอง หลังจากนั้นผู้กล่าวหาทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่อัยการ แต่เป็นนายประกันที่ศาลชั้นต้น จึงรู้ว่าถูกผู้ถูกกล่าวหาหลอกลวง ผู้กล่าวหาต้องการเงินคืนจากผู้ถูกกล่าวหา
ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องว่า ญาติของผู้กล่าวหามารับผู้ถูกกล่าวหาไปที่บ้าน แล้วนำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มาให้ ผู้ถูกกล่าวหาตรวจดูแล้วเห็นว่าจำเลยมีสิทธิจะยื่นฎีกาได้ ตกลงค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้เงินที่บ้านญาติผู้กล่าวหา และถ้าหากแพ้คดีในชั้นฎีกาผู้ถูกกล่าวหาจะคืนเงินให้ทั้งหมด จึงทำสัญญากู้เงิน ๖๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้กล่าวหาไว้ ผู้ถูกกล่าวหาให้นายชุมพล สว่างพลกรัง เป็นทนายความให้และจ่ายค่าทนายความกับค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกเป็นเงิน ๒๑,๕๗๐ บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาอ้างตนว่าเป็นอัยการทำงานที่ศาลชั้นต้น เรียกเงินค่าใช้จ่ายจากผู้กล่าวหาเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาวิ่งเต้นให้ชนะคดี โดยรับเงินที่โรงอาหารของศาลชั้นต้น การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำที่ไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาล จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ซึ่งเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑ (๑) อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๓ ให้จำคุกนายไสว จันทร์ภิรมย์ ผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด ๖ เดือน และออกข้อกำหนดห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลชั้นต้นมีกำหนด ๓ ปี นับแต่วันมีคำสั่งเว้นแต่จะเป็นคู่ความในคดีเสียเอง
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด ๓ เดือน และออกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐ ห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลชั้นต้นมีกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้ เว้นแต่เป็นคู่ความในคดีเสียเองหรือมีเหตุจำเป็นโดยต้องแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบก่อนทุกครั้งไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา (ที่ถูกเป็นคำสั่ง) ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า กรณีของผู้ถูกกล่าวหามิได้มีการจ่ายเงินและรับเงินกันต่อหน้าศาล จึงลงโทษผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ โดยผู้ถูกกล่าวหามิได้ฎีกาโต้เถียงว่า ผู้ถูกกล่าวหาอ้างตนเองว่าเป็นอัยการและหลอกลวงผู้กล่าวหาในบริเวณศาลชั้นต้น ทั้งมีการรับเงินกันที่โรงอาหารซึ่งอยู่ภายในบริเวณศาลชั้นต้นด้วย แม้เหตุจะมิได้เกิดขึ้นต่อหน้าศาลแต่ก็เกิดในบริเวณศาล การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษผู้ถูกกล่าวหาได้โดยหาจำต้องดำเนินการทางพนักงานสอบสวนดังที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้ถูกกล่าวหาฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ออกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐ ห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลชั้นต้นมีกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ เว้นแต่เป็นคู่ความเสียเองหรือมีเหตุจำเป็น โดยต้องแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบก่อนทุกครั้งนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะออกข้อกำหนดใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐ ได้จะต้องเป็นกรณีที่เห็นจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็วด้วย แต่การออกข้อกำหนดแก่ผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่ปรากฏว่ากระทำเพื่อให้กระบวนพิจารณาเรื่องใดดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว กรณีจึงไม่ต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐ ในอันที่ศาลจะพึงออกข้อกำหนดแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ออกข้อกำหนดห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓.
(วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ – กำพล ภู่สุดแสวง – สุรชาติ บุญศิริพันธ์)

Share