แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมายโดยใช้ขนยาเสพติด ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 7.2 หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก มีเจตนายกเว้นการใช้รถยนต์เพื่อประโยชน์ในการทำผิดกฎหมายโดยตรงเท่านั้น การที่พบถุงปุ๋ยซุกซ่อนอยู่บริเวณช่องว่างของเครื่องยนต์รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าต้องการใช้รถกระบะเพื่อซุกซ่อนพืชกระท่อมเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถกระบะในทางผิดกฎหมายโดยใช้ขนยาเสพติดโดยตรง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 284,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และค่าเสียหายในอัตราวันละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะด้วยความประมาทชนรถกระบะของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์และบุคคลอื่นได้รับความเสียหายจริง แต่จำเลยที่ 1 ทำประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ความเสียหายที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 159,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 2 มิถุนายน 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 159,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 2 มิถุนายน 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บต 9602 ชุมพร ไว้จากจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัย โดยจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อชีวิต ร่างกายหรืออนามัย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ มีเงื่อนไขในหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกสรุปได้ว่า ข้อ 1. บริษัท (จำเลยที่ 2) จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญเสียหรือความเสียหายอย่างใดอันเกิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัย (จำเลยที่ 1) จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้ หรืออยู่ในทาง ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยในนามผู้เอาประกันภัย ดังนี้ 1.1 ความเสียหายต่อชีวิตร่างกายและอนามัย 1.2 ความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นต้น โดยมีข้อ 7. การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก ข้อ 7.2 การใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมาย เช่น ใช้รถยนต์ไปปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือใช้ขนยาเสพติด เป็นต้น และข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตาราง เงื่อนไขข้อ 7.2 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตาม 1.1 ในหมวดนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลารับประกันภัย จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บต 9602 ชุมพร ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทชนท้ายรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บก 6468 ระนอง ของโจทก์อย่างแรงเป็นเหตุให้รถกระบะของโจทก์ได้รับความเสียหาย ภายหลังเกิดเหตุร้อยตำรวจเอก ยุทธนา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรราชกรูด ตรวจสภาพรถกระบะคันที่จำเลยที่ 1 ขับพบถุงปุ๋ยบรรจุพืชกระท่อมน้ำหนัก 3 กิโลกรัม อยู่บริเวณช่องว่างของเครื่องยนต์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส ความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีหมายเลขแดงที่ 3334/2556 และคดีหมายเลขแดงที่ 1011/2557
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 บรรทุกพืชกระท่อมไว้ในรถกระบะ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์ในการขนยาเสพติดแล้ว ไม่ว่าจำนวนพืชกระท่อมซึ่งเป็นยาเสพติดจะมีปริมาณมากหรือน้อยเท่าใดก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยู่ที่ว่ายาเสพติดได้บรรทุกอยู่ในรถยนต์หรือไม่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 บรรทุกพืชกระท่อมไว้ในห้องเครื่องรถกระบะ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แล้ว นั้น เห็นว่า การใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมายโดยใช้ขนยาเสพติด ตามข้อ 7.2 หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ มีเจตนายกเว้นการใช้รถยนต์เพื่อประโยชน์ในการทำผิดกฎหมายโดยตรงเท่านั้น และร้อยตำรวจเอก ยุทธนา ค้นพบพืชกระท่อมบรรจุในถุงปุ๋ยซุกซ่อนอยู่บริเวณช่องว่างของเครื่องยนต์ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่า ต้องการใช้รถกระบะเพื่อซุกซ่อนพืชกระท่อมเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้รถกระบะในทางผิดกฎหมายโดยใช้ขนยาเสพติดโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขยกเว้นความรับผิดตามข้อ 7.2 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ