คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7320/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานการยึดทรัพย์ประกอบบัญชียึดทรัพย์ว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 8418 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. โดยแสดงรายละเอียดสภาพของบ้านว่าเป็นบ้านตึกชั้นเดียว กระเบื้องซีแพค ผนังก่ออิฐฉาบปูนขอบเรียบ มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ด้านหลังต่อเติมเป็นห้องครัว ด้านข้างทำเป็นที่จอดรถ ไม่ปรากฏเลขทะเบียน แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นบ้านเลขที่ 142 และเป็นของจำเลย ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยระบุสภาพของบ้านและแผนที่แสดงที่ตั้งของบ้านไว้ชัดเจน เป็นที่เข้าใจได้ว่าบ้านที่จะขายทอดตลาดเป็นบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ยึดไว้ บ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดกับบ้านที่ขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์จึงเป็นบ้านหลังเดียวกัน มิใช่เป็นการขายทอดตลาดบ้านหลังที่มิได้ยึดแต่ประการใด แม้เลขที่ของบ้านจะไม่ตรงกัน ก็เป็นเพียงการระบุเลขที่บ้านผิดไป มิได้มีผลให้การขายทอดตลาดไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาด ที่ผู้ร้องที่ 1 อ้างว่า บ้านดังกล่าวเป็นของตนมิใช่ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ผู้ร้องที่ 1 ก็ชอบที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าวเสียก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 วรรคหนึ่ง เมื่อการขายทอดตลาดบ้านพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว ย่อมล่วงเลยเวลาที่ผู้ร้องที่ 1 จะขอปล่อยทรัพย์นั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8418 ตำบลเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสาวสมวงศ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 142 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว นำออกขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2547 พันเอกประยุทธ เป็นผู้ซื้อทรัพย์ดังกล่าวได้ในราคา 170,000 บาท
ผู้ร้องที่ 1 และจำเลยในฐานะผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองว่า มีเหตุเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์คดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ในส่วนของจำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งผู้ร้องที่ 2 มิได้โต้แย้งว่า ผู้ร้องที่ 2 ทราบเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านพิพาทและนำออกขายทอดตลาดอย่างช้าที่สุดในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ดังนั้น หากจะร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ผู้ร้องที่ 2 ย่อมต้องร้องขอเสียก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่า 15 วัน นับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องที่ 2 ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสาม แต่ผู้ร้องที่ 2 เพิ่งยื่นคำร้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งล่วงพ้นกำหนดเวลาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นแล้ว ผู้ร้องที่ 2 จึงไม่อาจร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทได้ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้เพียงในส่วนของผู้ร้องที่ 1 ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2545 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 8418 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสาวสมวงศ์ โดยแสดงรายละเอียดสภาพบ้านชัดเจนว่าเป็นบ้านตึกชั้นเดียว กระเบื้องซีแพค ผนังก่ออิฐฉาบปูนขอบเรียบ มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ด้านหลังต่อเติมเป็นห้องครัว ด้านข้างทำเป็นที่จอดรถ ไม่ปรากฏเลขทะเบียน แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นบ้านเลขที่ 142 และเป็นทรัพย์ของจำเลย ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยระบุสภาพของบ้านและมีแผนที่แสดงที่ตั้งของบ้านไว้ชัดเจนเป็นที่เข้าใจได้ว่า บ้านที่จะขายทอดตลาดเป็นบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ยึดไว้โดยเป็นการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เช่นนี้บ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และประกาศขายทอดตลาดกับบ้านที่ขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปจึงเป็นบ้านหลังเดียวกัน มิใช่เป็นการขายทอดตลาดบ้านหลังที่มิได้ยึด แม้เลขที่ของบ้านจะไม่ตรงกัน ก็เป็นเพียงการระบุเลขที่บ้านผิดไปจากความจริง แต่มิได้มีผลให้การขายทอดตลาดบ้านนั้นไม่ชอบดังที่ผู้ร้องที่ 1 อ้าง จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดส่วนที่ผู้ร้องที่ 1 อ้างว่า บ้านดังกล่าวเป็นของตนมิใช่ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ผู้ร้องที่ 1 ก็ชอบที่ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าวเสียก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคหนึ่ง เมื่อการขายทอดตลาดบ้านพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว ย่อมล่วงเลยเวลาที่ ผู้ร้องที่ 1 จะขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นได้ สำหรับข้ออ้างตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองข้ออื่นนอกจากนี้ ผู้ร้องทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share