แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พินัยกรรมที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือ มีพยานรับรองครบ 2 คนแล้วแม้ผู้เขียนพินัยกรรมจะเขียนชื่อผู้ทำพินัยกรรมและผู้รับพินัยกรรมลงในช่องผู้มอบและผู้รับพินัยกรรม เพื่อให้ทราบว่าในช่องที่มีลายพิมพ์นิ้วมือนั้นเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของใคร ก็ไม่ทำให้พินัยกรรมที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้นเสียไป
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นหาจำต้องมีข้อความเขียนบอกไว้ให้ชัดเจนว่าได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือด้วย เพียงแต่ในพินัยกรรมมีลายพิมพ์นิ้วมือผู้ให้ แล้วมีพยาน 2 คนลงรวมกำกับรับรองไว้ก็เพียงพอแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำพินัยกรรมปลอมจึงขอให้ทำลายจำเลยต่อสู้ว่า ไม่ใช่พินัยกรรมปลอมส่งพินัยกรรมเป็นพยานต่อศาล โจทก์ยืนยันว่าพินัยกรรมนั้นปลอม แต่จะทำปลอมอย่างไร ไม่กล่าว และงดไม่สืบพยานดังนี้เมื่อปรากฏว่าพินัยกรรมนั้นไม่มีอะไรชำรุดบกพร่องหากแต่มีอะไรเกินเลยหรือทำให้เป็นที่น่าสงสัยได้บ้างเท่านั้น ก็เป็นหน้าที่โจทก์จะต้องสืบตามข้ออ้างเมื่อโจทก์ไม่สืบให้เห็นว่ามีพิรุธเสียหายปลอมแปลงอย่างไร ตรงไหน ให้เป็นที่แน่นอน ศาลก็ยากที่จะฟังว่าปลอมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาโดยได้รับมรดกจากบิดาจำเลยได้สมคบกันทำพินัยกรรมปลอมขึ้นเพื่อแย่งเอาที่นาของโจทก์ไปให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนา จึงขอให้บังคับออกจากที่ และทำลายพินัยกรรม จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนายโสภา ๆ ได้ทำพินัยกรรม ยกให้จำเลย ไม่ใช่พินัยกรรมปลอม
ปรากฏตามรายงานพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้อ้างและส่งพินัยกรรมฉบับหนึ่งต่อศาล ศาลตรวจดูและถามโจทก์แล้ว โจทก์ไม่คัดค้านในการอ้าง แต่โจทก์ว่าพินัยกรรมที่จำเลยส่งนั้น พวกจำเลยได้สมคบกันทำปลอมขึ้น จะทำปลอมอย่างไร โจทก์ไม่กล่าวและงดสืบพยานขอให้ศาลวินิจฉัย
พินัยกรรมฉบับนี้ มีลายพิมพ์นิ้วมือของนายโสภา ภูทองเทียนผู้ให้มีพยาน 2 คนลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือคือ นายโฮม ภูกว้างและสามีนางกว้างผู้รับพินัยกรรมและมีลายมือชื่อนายป่น ภูบาสีลงชื่อเป็นพยานให้ ลายพิมพ์นิ้วมือของนายโสภา ภูทองเทียน และปรากฏว่าในช่องผู้รับมอบพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมและผู้เขียนมีคำว่านายโสภา ภูทองเทียน นางกว้าง สีสุทัด และนายทองสมุทร์ ณ กาฬสินธ์ ซึ่งนายทองสมุทรเป็นผู้เขียนโดยตลอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทำลายพินัยกรรม และให้จำเลยออกจากที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จะปรากฏว่า ในช่องผู้มอบพินัยกรรมผู้รับพินัยกรรม และผู้เขียน นายทองสมุทร เป็นผู้เขียนโดยตลอดก็อาจจะเขียนลงไว้ให้ทราบว่า ในช่องที่มีลายพิมพ์นิ้วมือสีเหลืองนั้น เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของใครก็ได้ จึงได้เขียนกำกับเอาไว้ซึ่งจะเขียนลงไว้หรือไม่เขียนไม่สำคัญ เพราะมีลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรม และมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นไว้แล้วแต่พยาน 2 คนที่รับรองลายพิมพ์นิ้วมือนี้ คนหนึ่งเป็นสามีนางกว้างผู้รับพินัยกรรม จึงคงเหลือพยานแต่นายโฮม ภูกว้าง คนเดียว จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจพินัยกรรมที่อ้างแล้ว เห็นว่าเมื่อพิเคราะห์โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในเบื้องต้นจะว่าไม่บริบูรณ์ไม่ได้ เมื่อพินัยกรรมซึ่งปรากฏโดยเฉพาะหน้าไม่มีอะไรชำรุดบกพร่อง หากแต่มีอะไรเกินเลยหรือทำให้เป็นที่สงสัยได้บ้างเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำต้องรับฟังไว้ก่อน เมื่อโจทก์ว่าปลอมก็เป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบตามข้ออ้างของตน เมื่อโจทก์ไม่สืบให้เห็นว่ามีพิรุธเสียหายปลอมแปลงอย่างไรตรงไหนให้เป็นที่แน่นอน ก็ยากที่จะรับฟังว่าปลอมได้ ที่ศาลล่างว่า ลายเขียนในช่องผู้ให้ผู้รับและพยานไม่เหมือนกับข้อความอื่นในพินัยกรรมนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้ชี้แจงอธิบายเหตุผลไว้แล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ทั้งพินัยกรรมก็มีลายพิมพ์นิ้วมือปรากฏอยู่ และมีผู้เป็นพยานรับรองด้วยลายพิมพ์นิ้วมือแม้จะไม่ชัดแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพึงถือได้ว่าปลอม
ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ คงเหลือแต่นายโฮมคนเดียว ไม่พึงเอานายปุ่นมารวมเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือรวมกับนายโฮมนั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะในการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้น หาจำต้องมีข้อความเขียนบอกไว้ให้ชัดเจนเช่นนั้นด้วยไม่ ว่าได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือด้วย เพียงแต่พินัยกรรมมีลายพิมพ์นิ้วมือผู้ให้ แล้วมีพยาน 2 คนลงร่วมกำกับไว้ก็เพียงพอแล้ว จึงเห็นว่า พินัยกรรมมีพยานถูกต้องแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง