แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การบรรยายฟ้องจึงต้องให้ได้ความว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งพร้อมข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ หากจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายยื่นคำให้การต่อสู้คดีเห็นว่าคำฟ้องบกพร่องอย่างไร จะต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าคำฟ้องนั้นเคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยขอกู้ยืมเงินจากใครและจะต้องชำระหนี้ให้แก่บุคคลใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นจึงเป็นฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุมนั่นเอง ปัญหาว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองไม่ จำเลยจะต้องยกขึ้นต่อสู้โดยชัดเจนเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมอย่างใด จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือโอนเงินกลับเข้าบัญชีเงินฝากดังกล่าวเป็นเงิน 750,855.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 695,016 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะคืนหรือโอนเงินกลับเข้าบัญชีจนครบ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 750,855.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะคืนเงินเพื่อให้โจทก์นำเงินกลับเข้าบัญชีหรือจำเลยโอนเงินกลับเข้าบัญชีจนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ยังไม่ได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือโอนเงินกลับเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางชัน เลขที่ 024-0-15xxx-x จำนวน 750,855.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 695,016 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 กันยายน 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ในชั้นนี้แทนโจทก์ 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 ใช้บังคับสิทธิในการฎีกาของจำเลยจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 (เดิม) และมาตรา 248 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ โดยที่จำเลยไม่ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา และเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะตรวจฎีกาและมีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 ประกอบมาตรา 247 (เดิม) การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาพร้อมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาว่า “สำเนาคำร้องและคำฟ้องฎีกาให้โจทก์ หากจะคัดค้านประการใดให้คัดค้านภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน ให้จำเลยนำส่งภายใน 15 วัน ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด รีบส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาละสำนวนความไปยังศาลฎีกาโดยไม่จำต้องรอคำคัดค้าน” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “รวมสั่งในคำร้องขออนุญาต” โดยศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น จึงให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวข้างต้น เมื่อคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และโจทก์ได้ยื่นคำแก้ฎีกามาแล้ว เพื่อมิให้คดีล่าช้า จึงให้รับฎีกาของจำเลยและรับคำแก้ฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
คดีนี้ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทไฟน์ วู๊ด ชัตเตอร์ จำกัด ซึ่งมีกรรมการ 4 คน คือ นายสร้างสรรค์ (สามีโจทก์) จำเลย โจทก์ และนางสุวีรยา โดยจำเลยหรือนางสุวีรยาลงลายมือชื่อร่วมกับนายสร้างสรรค์หรือโจทก์ รวมเป็นสองคนและประทับตราสำคัญของบริษัทมีผลผูกพันบริษัท การดำเนินกิจการของบริษัท ในกรณีปกติจะนำเงินค่าสินค้าที่ลูกค้าชำระเข้าบัญชีในนามของบริษัทซึ่งเปิดบัญชีกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แต่ในกรณีที่ลูกค้าไม่ประสงค์ให้เข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะนำเงินเข้าบัญชีของบริษัทที่เปิดในนามของโจทก์และจำเลย ซึ่งเป็นบัญชีพิพาทที่เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางชัน เลขที่ 024-0-15xxx-x โดยบัญชีพิพาทดังกล่าวมีเงื่อนไขในการเบิกถอนเงินว่าโจทก์และจำเลยต้องลงลายมือชื่อร่วมกัน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์และจำเลยร่วมกันเบิกถอนเงินจากบัญชีพิพาทจำนวน 695,016 บาท มอบให้แก่จำเลย โดยจำเลยให้สัญญาซึ่งบันทึกไว้ในใบถอนเงินว่า จำเลยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวโอนกลับเข้าบัญชีภายใน 200 วัน หรือภายในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 เมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัดไม่นำเงินมาคืนหรือโอนกลับเข้าบัญชีพิพาทตามที่ให้สัญญาไว้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง การบรรยายฟ้องจึงต้องให้ได้ความว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งพร้อมข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ หากจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายยื่นคำให้การต่อสู้คดีเห็นว่าคำฟ้องบกพร่องตรงไหน อย่างไร ก็จะต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าคำฟ้องนั้นเคลือบคลุม ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยขอกู้ยืมเงินจากใครและจะต้องชำระหนี้ให้แก่บุคคลใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุมนั่นเอง และปัญหาว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองไม่ หากแต่จำเลยจะต้องยกขึ้นต่อสู้โดยชัดเจนเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ซึ่งคดีนี้จำเลยก็ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า เงินในบัญชีพิพาทไม่ใช่เงินของโจทก์และจำเลย แต่เป็นของบริษัทไฟน์ วู๊ด ชัตเตอร์ จำกัด ที่ใช้ชื่อโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของบัญชีแทน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานของบริษัท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นกรรมการของบริษัทย่อมมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการของบริษัทรวมทั้งดูแลรักษาเงินในบัญชีพิพาทดังกล่าวด้วยกัน เมื่อโจทก์และจำเลยมีข้อตกลงในระหว่างกันด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายให้จำเลยเบิกถอนเงินโดยจำเลยสัญญาว่าจะนำเงินมาคืนหรือโอนเข้าบัญชีพิพาทตามเวลาที่กำหนด ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย เมื่อจำเลยผิดนัดไม่นำเงินมาคืนหรือโอนเข้าบัญชีพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเอาแก่จำเลยได้และมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเหตุที่จะต้องคืนเงินนั้น เพราะโจทก์และนายสร้างสรรค์สามีโจทก์ได้รับเงินจากลูกค้าของบริษัทไฟน์ วู๊ด ชัตเตอร์ จำกัด แล้วนำไปใช้ส่วนตัว โดยไม่นำเงินเข้าบัญชีบริษัทไฟน์ วู๊ด ชัตเตอร์ จำกัด นั้น ซึ่งแม้หากจะฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้าง ก็เป็นเรื่องของบริษัทไฟน์ วู๊ด ชัตเตอร์ จำกัด ที่จะเรียกร้องเอาแก่โจทก์และนายสร้างสรรค์ จำเลยไม่อาจยกเหตุดังกล่าวมาอ้างเพื่อไม่คืนหรือโอนเงินกลับเข้าบัญชีพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนหรือโอนเงินกลับเข้าบัญชีพิพาทพร้อมดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ