แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินค่าภาษีการค้าผิดเจ้าพนักงานได้สั่งเด็ดขาดประการใดไม่ จนล่วงเลยเวลามาช้านานดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลขอเรียกค่าภาษีคืนได้ ป.พ.พ.ม. 419 – 169 การที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินค่าภาษีคืนฐานลาภมิควรได้ในกรณีที่เจ่าพนักงานประเมินค่าภาษีผิดนั้น อายุความเริ่มนับแต่วันที่จำเลยทราบว่าไม่ต้องเสียภาษีหาใช่นับแต่วันที่ จำเลยชำระเงินค่าภาษีไปไม่
ย่อยาว
ได้ความว่าโจทก์ทำการค้าขายอยู่ในแพ เจ้าพนักงานได้เรียกประเมินภาษีการค้าจากโจทก์เป็นเงิน ๑๒ บาท ๙๖ สตางค์ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์ขอให้พิจารณาคำชี้ขาดหรือการประเมินใหม่ แต่เจ่าพนักงานก็มิได้ชี้ขาดหรือการประเมินใหม่ แต่เจ้าพนักงานก็มิได้ชี้ขาดหรือสั่งประการใด จนล่วงเลยมาเป็นเวลาช้านาน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาในคดี ๔๓๔/๒๔๗๙ ว่าการค้าในแพมิต้องเสียภาษีโจทก์จึงฟ้องคดีนี้เรียกเงินจำนวนนี้จากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า คำร้องอุทธรณืโจทก์นั้นจำเลยยังหาได้สั่งประกาารใดไม่ แลตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตาม ม. ๔๑๙
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์อาจขอค่าภาษีคืนได้ แต่โจทก์ก็มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามความใน พ.ร.บ. พิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไคัดค้านการประเมินเก็บภาษีแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังมิได้สั่งประการใดจะว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินั้นยังหาถูกต้องไม่ การที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้สั้งคำอุทธรณ์จนล่วงเลยมาเป็นเวลาช้านานนั้นจะให้โจทก์จัดการอย่างใดและเห็นว่าอายุความในเรื่องนี้ไม่ควรนับจากวันที่เสียภาษี เพราะโจทก์กำลังร้องอุทธรณ์อยู่ เรื่องนี้นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาฎีกาเงินภาษีที่เจ้าหน้าที่เรียกผิดจากโจทก์ ๆ ก็ควรได้คืนในเวลาอันควร ฟ้องเรียกคืนได้ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ตามฟ้อง