คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7304/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้นและโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2)แต่โจทก์ก็ต้องงดการบังคับคดีไว้เพราะจำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตามมาตรา 231 วรรคสี่ โดยจำเลยได้ทำสัญญาประกันวางหลักประกันเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว การวางหลักประกันของจำเลยดังกล่าว แม้จะเป็นการวางตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็ตามก็ถือได้ว่า จำเลยได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีตามมาตรา 295(1) แล้ว จึงมีเหตุให้ถอนการบังคับคดีโดยถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าวได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา จำนวน 22 รายการ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยกับใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ หลังจากนั้นศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับต้นเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสามวางหลักประกันเป็นที่ดินและเงินฝากประจำในธนาคารจำนวน 3,000,000 บาท ซึ่งได้วางเป็นหลักประกันต่อศาลชั้นต้นไว้แล้วในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น และวางหลักประกันเพิ่มเติมเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารจำนวน 2,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,575,000 บาท ครบถ้วนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ซึ่งโจทก์พอใจหลักประกันดังกล่าวและจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประกันแล้ว
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ 22 รายการดังกล่าวเพื่อจำเลยที่ 1 จะนำไปใช้ในการก่อสร้างทางหลวงต่อไปโดยอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 1 ได้วางหลักประกันจำนวนดังกล่าว ซึ่งจำนวนมูลค่าทรัพย์สินสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสามจะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) แล้ว ดังนั้นทรัพย์ที่ยึดไว้ 22 รายการดังกล่าวยังคงมีผลต่อไป คำสั่งศาลอุทธรณ์เรื่องทุเลาการบังคับไม่มีผลลบล้างการบังคับคดีที่ได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว คงมีผลให้โจทก์งดการบังคับคดีเท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ 22 รายการที่ได้ยึดไว้ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุให้ถอนการบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับนั้นเอง หรือถอนตามคำสั่งศาล เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้วางเงินต่อศาลหรือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาล สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ คดีนี้โจทก์ชนะคดีและโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สิน 22 รายการ ของจำเลยที่ 1 ที่ถูกยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) แต่โจทก์ก็ต้องงดการบังคับคดีไว้เพราะจำเลยทั้งสามอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 วรรคสี่ จำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประกันโดยวางหลักประกันเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว การวางหลักประกันของจำเลยทั้งสามดังกล่าวแม้จะเป็นการวางตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาล สำหรับจำนวนเงินพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดี ตามมาตรา 295(1) แล้วจึงมีเหตุให้ถอนการบังคับคดีดังกล่าวได้”
พิพากษายืน

Share