แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสองเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมทั้งสองด้วย ซึ่งตามคำฟ้องดังกล่าวระบุว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส ต้องทุพพลภาพและเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ดังนั้น ที่โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ร่วมที่ 2 ได้ถึงแก่ความตายภายหลังโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นอุทธรณ์แล้ว การตายของโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นความสัมพันธ์และเป็นผลธรรมดาที่เกิดจากการกระทำของจำเลยย่อมเกิดขึ้นได้ตาม ป.อ. มาตรา 63 อันมีผลทำให้จำเลยต้องได้รับโทษหนักขึ้นนั้น เป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ระบุในฟ้องดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้กล่าวในฟ้องและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 60, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสวัสดิ์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายประสาร ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยให้เรียกผู้เสียหายที่ 2 เป็นโจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกผู้เสียหายที่ 1 เป็นโจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 59, 60, 80 มาตรา 371 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 13 ปี 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท ริบของกลาง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน แต่ไม่บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30
เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้ว โจทก์ร่วมที่ 2 ถึงแก่ความตายนางธิดา ภริยาโจทก์ร่วมที่ 2 ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา โจทก์ร่วมที่ 2 ได้ถึงแก่ความตาย ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและภายหลังจากที่โจทก์ร่วมทั้งสองยื่นอุทธรณ์แล้ว แต่การตายของโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นความสัมพันธ์และเป็นผลธรรมดาที่เกิดจากการกระทำของจำเลยย่อมเกิดขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63 อันมีผลทำให้จำเลยต้องได้รับโทษหนักขึ้น ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองจึงเป็นข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ศาลฎีกาควรจะวินิจฉัยให้เพื่อให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก เห็นว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสองเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมทั้งสองด้วย ซึ่งตามคำฟ้องดังกล่าวระบุว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 2 ทำให้ตับแตก ม้ามแตก ไตแตก ต้องอัมพาตท่อนล่างครึ่งตัวและไม่สามารถพูดออกเสียงได้ เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส ต้องทุพพลภาพและป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ดังนั้น ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ระบุในฟ้องดังกล่าวแล้ว จึงเป็นข้อที่มิได้กล่าวในฟ้องและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสอง
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ โจทก์ร่วมที่ 2 และจำเลยมีร้านค้าติดกันโดยมีตาข่ายเหล็กกั้นสามารถมองเห็นกันระหว่างร้านทั้งสองได้ ร้านทั้งสองตั้งอยู่ในตลาดพืชผล ขณะโจทก์ร่วมที่ 2 กำลังปีนบันไดขึ้นไปจะเปลี่ยนแผ่นซีดีภายในร้านของโจทก์ร่วมที่ 2 โจทก์ร่วมที่ 1 นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ตาข่ายเหล็ก มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงมาจากร้านค้าของจำเลยหลายนัด กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ ตับแตก ม้ามแตก ไตแตก จนเป็นอัมพาตท่อนล่างครึ่งตัว เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนำสืบตัวโจทก์ร่วมทั้งสอง เห็นว่า โจทก์ร่วมที่ 2 รู้จักจำเลยดีเพราะร้านค้าอยู่ติดกันมองเห็นกันตลอด โจทก์ร่วมที่ 1 แม้จะไม่รู้จักชื่อจำเลยแต่ก็เห็นจำเลยอยู่เป็นประจำเช่นกันเพราะมานั่งคุยอยู่กับโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ร้านค้าของโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นประจำ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 18 นาฬิกา เริ่มมืดแล้ว แต่มีร้านค้าที่มีไฟฟลูออเรสเซนต์ขนาด 40 แรงเทียน 2 หลอด เปิดไว้ทั้งสองร้านสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจน โจทก์ร่วมทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองยังมีนางธิดา ภริยาของโจทก์ร่วมที่ 2 และนางสาวมาลัย เบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุอยู่หลังร้าน ได้ยินเสียงปืนหันมาดูเห็นจำเลยยืนถือปืนอยู่ในร้านของจำเลย จำเลยยิงปืนห่างตาข่ายเหล็กถูกโจทก์ร่วมทั้งสอง โจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งหลบหนี ส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 ล้มลง จำเลยหลบหนีไป นางธิดาและนางสาวมาลัยเข้าช่วยโจทก์ร่วมที่ 2 หลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เจ้าพนักงานตำรวจได้มาสอบถามโจทก์ร่วมที่ 1 ได้แจ้งว่าคนร้ายคือจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของร้านที่อยู่ติดกัน และร้อยตำรวจเอกวินัย เบิกความเป็นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า ขณะออกตรวจท้องที่ได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่ามีเหตุยิงกันที่ตลาดพืชผล มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน พยานได้ไปที่เกิดเหตุทราบว่าผู้บาดเจ็บได้ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว และจากการสอบถามชาวบ้านบริเวณที่เกิดเหตุได้ความว่า คนร้ายคือเจ้าของร้านที่อยู่ติดกับร้านของโจทก์ร่วมที่ 2 มีชื่อเล่นว่านายบ่าว จำเลยนี้ซึ่งพักอยู่กับพี่สาวที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช นางสำลี พี่สาวจำเลย เบิกความตอบคำถามทนายจำเลยรับว่า จำเลยพักอยู่กับนางสำลี และหลังเกิดเหตุในวันเดียวกัน เจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ไปสอบถามหาจำเลยที่บ้านนางสำลีทันที ทั้งนางธิดาและนางสาวมาลัยต่างก็ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจที่มาตรวจที่เกิดเหตุทันทีว่าจำเลยซึ่งมีร้านค้าอยู่ติดกันเป็นคนยิงโจทก์ร่วมทั้งสอง และพันตำรวจตรีเจียร เบิกความเป็นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน พยานได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่ามีเหตุยิงกันที่ตลาดพืชผล จึงรายงานผู้บังคับบัญชาแล้วเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุทันที ได้สอบถามบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุทราบว่าพนักงานของมูลนิธิได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว และได้ความว่าผู้ที่ยิงโจทก์ร่วมทั้งสองคือนายบ่าว จำเลยนี้ซึ่งมีร้านค้าอยู่ติดกับโจทก์ร่วมที่ 2 พยานเดินทางไปโรงพยาบาลพบนางธิดาและโจทก์ร่วมที่ 2 แต่โจทก์ร่วมที่ 2 ไม่สามารถให้การได้เพราะบาดเจ็บสาหัสแพทย์กำลังผ่าตัด พยานได้สอบคำให้การโจทก์ร่วมที่ 1 ยืนยันว่าคนร้ายคือนายบ่าวซึ่งเป็นเจ้าของร้านข้างร้านโจทก์ร่วมที่ 2 พยานรับตัวโจทก์ร่วมที่ 1 นางธิดาและนางสาวมาลัยไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ พยานให้ฝ่ายสืบสวนไปตรวจสอบว่าเจ้าของร้านข้างเคียงมีชื่อนายบ่าวเป็นใคร ได้ความว่าคือนายอรุณ จำเลยและทราบที่อยู่ว่าจำเลยพักอยู่กับพี่สาวฝ่ายสืบสวนได้นำตัวพี่สาวจำเลยและภริยาจำเลยมาให้พยานสอบปากคำที่สถานีตำรวจ หลังจากโจทก์ร่วมที่ 2 ออกจากโรงพยาบาลและสามารถพูดจาออกเสียงได้ พยานได้สอบปากคำโจทก์ร่วมที่ 2 ยืนยันว่า คนร้ายคือจำเลย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความได้สอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผลต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ส่วนจำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ พยานจำเลยเป็นพี่สาวและภริยาจำเลย คำเบิกความมีน้ำหนักน้อย ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน