คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานของบริษัทผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจและหน้าที่ดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในกิจการของบริษัทผู้เสียหายจำเลยทำการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่เป็นไปตามลำดับตามคำสั่งซื้อขายก่อนหลังเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ผู้เสียหายจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ.2522มาตรา75สัตต พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพ.ศ.2517มาตรา21ตรีที่ให้สันนิษฐานว่าการครอบครองหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในลำดับก่อนการครอบครองหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อตนเองนั้นเป็นเพียงบทสันนิษฐานทั่วไปในกรณีที่ไม่ปรากฎชัดว่าบริษัทหลักทรัพย์ครอบครองหุ้นเพื่อตนเองหรือเพื่อลูกค้าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายสั่งซื้อขายหุ้นในลำดับก่อนลูกค้าของผู้เสียหายจึงไม่ต้องด้วยบทสันนิษฐานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไอทีเอฟ จำกัดผู้เสียหาย เป็นบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์รวมทั้งเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้เสียหาย มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายคอมพิวเตอร์ และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลกิจการทั้งปวงในฝ่ายพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ เมื่อระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2531ต่อเนื่องกันจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้เสียหายไม่กระทำการซื้อหุ้นของบริษัทต่าง ๆที่ผู้เสียหายสั่งซื้อจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2531 เรียงตามลำดับก่อนหลังให้ครบจำนวนที่สั่งซื้อเสียก่อน คือ หุ้นของบริษัทเอเซียไฟเบอร์ จำกัด (เอ เอฟ ซี) ที่ผู้เสียหายสั่งซื้อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 หุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (เอ็น เอฟ เอส) ที่ผู้เสียหายสั่งซื้อวันที่ 15 มีนาคม 2531 วันที่ 8 เมษายน 2531วันที่ 12 เมษายน 2531 และวันที่ 14 เมษายน 2531 และหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางกอกอินเวสท์เมนท์โฮนดิ้งจำกัด (บี ไอ ซี) ที่ผู้เสียหายสั่งซื้อวันที่ 15 มีนาคม 2531โดยในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 วันที่ 8 เมษายน 2531วันที่ 12 เมษายน 2531 วันที่ 14 เมษายน 2531 และวันที่ 15มีนาคม 2531 ตามลำดับ จำเลยทำการซื้อหุ้นดังกล่าวเพียงจำนวนหนึ่งและสั่งยกเลิกคำสั่งซื้อหุ้นที่เหลือโดยไม่มีเหตุอันสมควรเพื่อเปิดโอกาสให้นางสาวนงคราญลูกค้าของผู้เสียหาย ซึ่งสั่งซื้อหุ้นดังกล่าวในลำดับที่หลังว่า สามารถซื้อหุ้นที่เหลือนั้นในราคาที่เท่ากันหรือต่ำกว่า นอกจากนี้จำเลยยังไม่กระทำการขายหุ้นของบริษัทตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2531 ถึงวันที่ 26 เมษายน 2531 เรียงตามลำดับก่อนหลังให้ครบจำนวนที่สั่งขายเสียก่อน คือหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางกอกอินเวสท์เมนท์โฮลดิ้ง จำกัด(บี ไอ ซี) ที่ผู้เสียหายสั่งขายวันที่ 15 มีนาคม 2531 และวันที่16 มีนาคม 2531 หุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด(เอ็น เอฟ เอส) ที่ผู้เสียหายสั่งขายวันที่ 15 มีนาคม 2531วันที่ 8 เมษายน 2531 และวันที่ 19 เมษายน 2531 และหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เจนเนอรับไฟแนนซ์ จำกัด (จี เอฟ)ที่ผู้เสียหายสั่งขายวันที่ 11 เมษายน 2531 วันที่ 14 เมษายน2531 และวันที่ 26 เมษายน 2531 โดยในวันที่ 16 มีนาคม 2531วันที่ 11 เมษายน 2531 วันที่ 14 เมษายน 2531 และวันที่ 19เมษายน 2531 ตามลำดับจำเลยกระทำการขายหุ้นดังกล่าวเพียงจำนวนหนึ่ง และสั่งยกเลิกคำสั่งขายหุ้นที่เหลือ และในวันที่26 เมษายน 2531 จำเลยสั่งยกเลิกคำสั่งขายหุ้น โดยไม่มีเหตุอันสมควร เพื่อเปิดโอกาสให้นางสาวนงคราญ ลูกค้าของผู้เสียหาย ซึ่งสั่งขายหุ้นดังกล่าวในลำดับที่หลังกว่า สามารถขายหุ้นที่เหลือนั้นในราคาที่เท่ากันหรือสูงกว่า ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองและนางสาวนงคราญ และทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายไม่สามารถซื้อขายหุ้น อันเป็นสิทธิของผู้เสียหายและทำให้ผู้เสียหายขาดประโยชน์ที่ควรได้รับ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 75 สัตต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลย ให้การ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 75 สัตต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2)การกระทำเป็นความผิดรวม 11 กรรม ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 5 ปี ซึ่งรวมโทษจำคุกแล้วเกิน 20 ปี คงจำคุกจำเลย 20 ปี ส่วนข้อหานอกจากนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายใด ๆ และนางสาวนงคราญ อาจศิริลูกค้าของผู้เสียหายเป็นผู้มีสิทธิ์ซื้อขายหุ้นได้ก่อนผู้เสียหาย ในการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไอทีเอฟ จำกัด ผู้เสียหาย เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมายเลขที่ 24 ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จากกระทรวงการคลังสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในนามของตนเอง และเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นในระหว่างปี 2530 ถึงเดือนมิถุนายน 2531 จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายคอมพิวเตอร์และตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์อีกตำแหน่งหนึ่ง มีอำนาจและหน้าที่ดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในกิจการของผู้เสียหายวันที่ 30 ตุลาคม 2530 นางสาวนงคราญ อาจศิริ สมัครเป็นลูกค้าของผู้เสียหายโดยเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 ผู้เสียหายสั่งซื้อหุ้นบริษัทเอเชียไฟเบอร์ จำกัด (เอ เอฟ ซี) เพื่อตนเอง ลำดับที่ 6 จำนวน 4,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 92 บาท และสั่งซื้อเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 58 จำนวน 2,300 หุ้นราคาหุ้นละ ราคาหุ้นละ 91.50 บาท วันนั้นผู้เสียหายซื้อเพื่อตนเองได้ เพียง 1,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 92 บาท หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ซื้อเพื่อนางสาวนงคราญได้ 2,300 หุ้น ราคาหุ้นละ 91 บาท จำนวน 800 หุ้น ราคาหุ้นละ 89.50 บาท จำนวน500 หุ้น และราคา 91.50 บาท จำนวน 1,000 หุ้น วันที่ 8เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งซื้อหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (เอ็น เอฟ เอส) เพื่อตนเอง ลำดับที่ 3 จำนวน20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 432 บาท และสั่งซื้อเพื่อนางสาวนงคราญลำดับที่ 29 จำนวน 3,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 428 บาท วันนั้นผู้เสียหายซื้อเพื่อตนเองได้เพียง 6,200 หุ้น ราคาหุ้นละ 432บาท จำนวน 2,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 430 บาท จำนวน 3,000 หุ้นและราคาหุ้นละ 428 บาท จำนวน 1,200 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ซื้อเพื่อนางสาวนงคราญได้ 3,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 428 บาท วันที่ 12 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งซื้อหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (เอ็น เอฟ เอส)เพื่อตนเอง ลำดับที่ 1 จำนวน 50,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 442 บาทและสั่งซื้อเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 51 จำนวน 3,000 หุ้นราคาหุ้นละ 436 ถึง 438 บาท วันนั้นผู้เสียหายซื้อเพื่อตนเองได้เพียง 4,800 หุ้น ราคาหุ้นละ 442 บาท จำนวน 2,400 หุ้นและราคาหุ้นละ 440 บาท จำนวน 2,400 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ซื้อเพื่อนางสาวนงคราญได้ 3,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 436 บาท จำนวน 2,400 หุ้น และราคาหุ้นละ 438 บาทจำนวน 600 หุ้น วันที่ 14 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งซื้อผู้เสียหายสั่งซื้อหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด(เอ็น เอฟ เอส) เพื่อตนเองลำดับที่ 2 จำนวน 16,000 หุ้นราคาหุ้นละ 452 บาท และสั่งซื้อเพื่อนางสาวนงคราญลำดับที่ 34 จำนวน 3,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 446 บาท วันนั้นผู้เสียหายซื้อเพื่อตนเองได้เพียง 4,200 หุ้น ราคาหุ้นละหุ้นละ 458 บาท (ซึ่งสูงกว่าราคาที่สั่งซื้อ) 3,200 หุ้นและราคาหุ้นละ 452 บาท จำนวน 1,000 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ซื้อเพื่อนางสาวนงคราญได้ 3,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 446 บาท วันที่ 15 มีนาคม 2531 ผู้เสียหายสั่งซื้อหุ้นบริษัทบางกอกอินเวสท์เมนต์ โฮลดิ้ง จำกัด (บี ไอ ซี)เพื่อตนเอง ลำดับที่ 3 จำนวน 84,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 54.50บาท และสั่งซื้อเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 42 จำนวน10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 54.50 บาท วันนั้นผู้เสียหายซื้อเพื่อตนเองได้เพียง 9,400 หุ้น ราคาหุ้นละ 54.50 บาท จำนวน8,400 หุ้น และราคาหุ้นละ 55.50 บาท (ซึ่งสูงกว่าราคาที่สั่งซื้อ) จำนวน 1,000 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ซื้อเพื่อนางสาวนงคราญได้ 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 54.50 บาทวันที่ 16 มีนาคม 2531 ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางกอกอินเวสเมนต์ จำกัด (บี ไอ ซี) เพื่อตนเองลำดับที่ 14 จำนวน 80,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 58 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญลำดับที่ 23 จำนวน 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 58 บาท วันนั้นผู้เสียหายขายเพื่อตนเองได้เพียง 70,600หุ้น ราคาหุ้นละ 58 บาท จำนวน 40,200 หุ้น และราคาหุ้นละ58.50 บาท จำนวน 30,400 หุ้น แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญได้ 9,600 หุ้น ราคาหุ้นละ 59.50 บาท วันที่ 11 เมษายน 2531ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เจนเนอรัลไฟแนนซ์จำกัด (จี เอฟ) เพื่อตนเองลำดับที่ 12 จำนวน 140,000 หุ้นราคาหุ้นละ 63.50 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญลำดับที่104 จำนวน 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 63.50 บาท วันนั้นผู้เสียหายขายหุ้นเพื่อตนเองได้เพียง 49,500 หุ้น ราคาหุ้นละ 62 บาทจำนวน 37,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 62.50 บาท (ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ผู้เสียหายสั่งขาย) จำนวน 11,000 หุ้นและราคาหุ้นละ 63.50บาท จำนวน 1,500 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญได้ 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 63.50 บาทวันที่ 14 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นบริษัทเจนเนอรัลไฟแนนซ์ จำกัด (จี เอฟ) เพื่อตนเอง ลำดับที่ 15จำนวน 150,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 63 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญลำดับที่ 59 จำนวน 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 65.50 บาทวันนั้นผู้เสียหายขายหุ้นเพื่อตนเองได้เพียง 103,000 หุ้นราคาหุ้นละ 63 บาท จำนวน 5,500 หุ้น ราคาหุ้นละ 63.50 บาทจำนวน 19,500 หุ้น ราคาหุ้นละ 64 บาท จำนวน 6,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 65 บาท จำนวน 42,000 หุ้น และราคาหุ้นละ 65.50 บาทจำนวน 30,000 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญ ได้ 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 65.50 บาท วันที่19 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เจนเนอรัลไฟแนนซ์ จำกัด (จี เอฟ) เพื่อตนเอง ลำดับที่ 11จำนวน 40,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 59 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 47 จำนวน 15,000 หุ้น ราคาหุ้นละ60.50 บาท วันนั้นผู้เสียหายขายหุ้นเพื่อตนเองได้เพียง 11,500หุ้น ราคาหุ้นละ 60.50 บาท หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญได้ 15,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 60.50 บาทวันที่ 19 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (เอ็น เอฟ เอส) เพื่อตนเองลำดับที่ 12 จำนวน 30,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 412 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 49 จำนวน 3,000 หุ้นราคาหุ้นละ 430 บาท วันนั้นผู้เสียหายขายหุ้นเพื่อตนเองได้เพียง 24,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 412 บาท จำนวน 1,400 หุ้นราคาหุ้นละ 414 บาท จำนวน 15,400 หุ้น ราคาหุ้นละ 412 จำนวน3,600 หุ้น ราคาหุ้นละ 418 บาท จำนวน 3,000 หุ้น และราคาหุ้นละ 420 บาท จำนวน 600 หุ้น หุ้นที่เหลือถูกยกเลิก แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญได้ 2,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 430 บาทและวันที่ 26 เมษายน 2531 ผู้เสียหายสั่งขายหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เจนเนอรัลไฟแนนซ์ จำกัด (จี เอฟ) เพื่อตนเองลำดับที่ 12 จำนวน 500,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 62 บาท และสั่งขายเพื่อนางสาวนงคราญ ลำดับที่ 52 จำนวน 20,000 หุ้นราคาหุ้นละ 62 บาท ผู้เสียหายไม่ขายหุ้นเพื่อตนเองโดยยกเลิกคำสั่งขายหุ้นเพื่อตนเองทั้งหมด แต่ขายเพื่อนางสาวนงคราญได้ 4,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 62 บาท การซื้อขายหุ้นทั้งสิบเอ็ดครั้งไม่เป็นไปตามลำดับก่อนหลังตามคำสั่งซื้อขายของผู้เสียหายเพื่อตนเองและนางสาวนงคราญ การซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งสิบเอ็ดครั้งตามฟ้องมิได้จัดสรรตามฟ้องข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามสำเนาหนังสือเรื่องการกำหนดมาตรฐานการปฎิบัติงานและการจัดทำทะเบียนคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์เอกสารหมาย จ. 59จำเลยเป็นผู้สั่งให้ยกเลิกคำสั่งซื้อขายหุ้นของผู้เสียหายเพื่อตนเองซึ่งอยู่ในลำดับก่อนนางสาวนงคราญเพื่อเปิดโอกาสให้นางสาวนงคราญเป็นผู้ซื้อขายหุ้นได้ก่อนผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหาย ซื้อขายหุ้นได้ไม่ครบจำนวนตามคำสั่ง อีกทั้งซื้อหุ้นดังกล่าวส่วนใหญ่ได้ในราคาที่สูงกว่านางสาวนงคราญซื้อแต่ขายหุ้นดังกล่าวส่วนใหญ่ได้ในราคาต่ำกว่านางสาวนงคราญขายการสั่งซื้อหุ้นของนางสาวนงคราญทั้งหมดจำเลยเป็นผู้ชำระราคาแทนวงเงินที่จำเลยซื้อขายหุ้นในนามของนางสาวนงคราญประมาณ 7,000,000 บาท ถึง 8,000,000 บาท ทั้ง ๆ ที่นางสาวนงคราญมอบเงินให้จำเลยนำมาทำการซื้อขายหุ้นเพียง 200,000บาท การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้มีกำไร พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการซื้อขายหุ้นในนามของนางสาวนงคราญเพื่อประโยชน์ของจำเลย สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายใด ๆ นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 75 สัตต บัญญัติว่า “กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท กระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการเสียหายแก่บริษัทนั้น ต้องระวางโทษ” ได้ความว่า จำเลยมีอำนาจและหน้าที่ดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในกิจการของบริษัทผู้เสียหาย จำเลยได้ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่เป็นไปตามลำดับตามคำสั่งซื้อขายก่อนหลัง ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย และตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยกระทำการหรือไม่กระทำการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า นางสาวนงคราญ ลูกค้าของผู้เสียหายเป็นผู้มีสิทธิซื้อหุ้นได้ก่อนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 มาตรา 21ตรี นั้น เห็นว่า ได้ความว่าผู้เสียหายสั่งซื้อขายหุ้นในลำดับก่อนนางสาวนงคราญ ทั้งสิ้น นางสาวนงคราญ จึงไม่มีสิทธิซื้อขายหุ้นได้ก่อนผู้เสียหาย การที่พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 มาตรา 21 ตรี บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 21 ฉ ผู้ใดครอบครองใบหุ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น
ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับหุ้น ที่บริษัทหลักทรัพย์ครอบครองไว้เพื่อตนเองหรือเพื่อลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทได้ครอบครองไว้เพื่อลูกค้ารายใด ให้ใช้บทสันนิษฐานในวรรคหนึ่งตามลำดับก่อนหลัง ดังต่อไปนี้
(1) ให้การครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในลำดับก่อนการครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อตนเอง” นั้นเป็นเพียงบทสันนิษฐานทั่วไปในกรณีที่ไม่ปรากฎชัดว่าบริษัทหลักทรัพย์ครอบครองหุ้นเพื่อตนเองหรือเพื่อลูกค้า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายสั่งซื้อขายหุ้นในลำดับก่อนนางสาวนงคราญทั้งสิ้นจึงไม่ต้องด้วยบทสันนิษฐานตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share