แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ในชั้นร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องจะตกลงกับโจทก์ว่า ผู้ร้องจะชำระหนี้แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเพื่อให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์และในที่สุดผู้ร้องก็ผิดนัดไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ไม่ เพราะการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกัน ตามบทกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องเมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์เสียแล้ว จึงไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมอีกต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการประนีประนอมยอมความ แต่เป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความประกอบคำร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวเท่านั้นทั้งศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่า อนุญาตให้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้และจำหน่ายคดีจากสารบบความ มิได้สั่งหรือพิพากษาตามที่ผู้ร้องตกลงกับโจทก์แต่อย่างใด ตามคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องยังสงวนสิทธิที่ผู้ร้องมีเหนือทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นระบุว่า “วันนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และแถลงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไป ไม่ร้องขัดทรัพย์อีก” และศาลได้ขีดฆ่าคำว่า”ไม่ขอร้องกันส่วนด้วย” ออก แสดงว่าผู้ร้องจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินเฉพาะการร้องขัดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังติดใจที่จะขอกันส่วนอยู่ดังนั้น สิทธิของผู้ร้องในการขอกันส่วนจึงยังมีอยู่ และการใช้สิทธิของผู้ร้องหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่เพราะผู้ร้องได้แสดงเจตนาสงวนสิทธิไว้แล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส.3 และ น.ส.3 ก ซึ่งมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองทั้งสองแปลงเพื่อบังคับชำระหนี้ของจำเลยให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนเงินที่ขายได้จำนวน 161,700 บาท ให้แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและลงทุนประกอบอาชีพระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องได้รู้เห็นยินยอมด้วย เป็นหนี้ร่วมผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ผู้ร้องได้เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์รายเดียวกันนี้โดยอ้างเหตุต่าง ๆ รวมทั้งเหตุว่าหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยด้วย และโจทก์ได้ให้การต่อสู้ว่าเป็นหนี้ร่วมไว้แล้วเช่นกัน ต่อมาในวันนัดสืบพยานผู้ร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ระบุเหตุว่าผู้ร้องไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์โดยขอสงวนสิทธิของผู้ร้องที่มีเหนือทรัพย์สินที่ยึดแต่เมื่อศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณา คู่ความแถลงว่าตกลงกันได้แล้วโดยผู้ร้องยินยอมชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเมื่อชำระหนี้ครบถ้วนตามกำหนดแล้ว โจทก์จะถอนการยึดทรัพย์โดยโจทก์ยอมเสียค่าธรรมเนียมการยึดที่ไม่มีการขาย หากพ้นกำหนดแล้วผู้ร้องไม่ชำระหนี้ผู้ร้องยินยอมให้โจทก์นำที่ดินที่ยึดขายทอดตลาดต่อไป และผู้ร้องได้แถลงรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไป ไม่ร้องขัดทรัพย์อีก ศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้ ต่อมาผู้ร้องไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงโจทก์ได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินไปแล้ว ผู้ร้องจึงมาร้องขอกันส่วน
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนจากเงินที่ขายที่ดินได้หรือไม่เห็นว่า แม้ในชั้นร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องจะตกลงกับโจทก์ว่า ผู้ร้องจะชำระหนี้แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเพื่อให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์ และในที่สุดผู้ร้องก็ผิดนัดไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ไม่ เพราะการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามบทกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์เสียแล้วจึงไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความอีกต่อไปข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการประนีประนอมยอมความ แต่เป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความประกอบคำร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวเท่านั้น ทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่าอนุญาตให้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้ และจำหน่ายคดีจากสารบบความมิได้สั่งหรือพิพากษาตามที่ผู้ร้องตกลงกับโจทก์แต่อย่างใด นอกจากนี้ตามคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2531ผู้ร้องยังสงวนสิทธิที่ผู้ร้องมีเหนือทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดในคดีนี้ และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่เดียวกันระบุว่า “วันนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และแถลงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไปไม่ร้องขัดทรัพย์อีก”และศาลได้ขีดฆ่าคำว่า “ไม่ขอร้องกันส่วนด้วย” ออกแสดงว่าผู้ร้องจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินเฉพาะการร้องขัดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังติดใจที่จะขอกันส่วนอยู่ ดังนั้น สิทธิของผู้ร้องในการขอกันส่วนจึงยังมีอยู่ และการใช้สิทธิของผู้ร้องหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เพราะผู้ร้องได้แสดงเจตนาสงวนสิทธิไว้แล้วที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องต่อไป