คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7232/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติผิดจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอม การที่บุคคลภายนอกนำเสาปูนมาปักหน้าประตูรั้วเหล็กก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บุคคลภายนอกต่อไป จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า โจทก์ยอมให้นำที่ดินทางทิศใต้ของโฉนดที่ดินเลขที่ 10000 ของโจทก์เป็นทางจำเป็น ให้เป็นทางเดินร่วมกันกับผู้มีกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 5576 และ 5577 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้มีความกว้าง 2 วา โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองจะใช้ทางจำเป็นเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2548 ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าโจทก์ทำประตูรั้วเหล็กปิดกั้นทางเข้าออกทางจำเป็น อันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จากนั้นวันที่ 4 มกราคม 2549 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดี จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้าน ครั้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเปลี่ยนกุญแจประตูรั้ว ติดตู้รับไปรษณียภัณฑ์และทำกริ่งแล้ว ต่อมาวันที่ 21 กันยายน 2549 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน 2549 มีบุคคลภายนอกซึ่งมีที่ดินติดกับประตูรั้วที่โจทก์ทำปิดกั้นทางจำเป็นได้นำเสาปูนมาปักหน้าประตูรั้วในที่ดินของตนเองและทำเป็นรั้วทำให้ปากประตูรั้วทางจำเป็นแคบลง จำเลยทั้งสองนำรถยนต์เข้าออกไม่ได้ ประกอบกับเสาปูนดังกล่าวจะปิดบังเลขที่บ้านบริเวณที่กดกริ่งและตู้รับไปรษณียภัณฑ์ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีการบังคับคดีต่อไป เพื่อจำเลยทั้งสองจะได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรื้อประตูรั้วที่โจทก์ทำปิดกั้นทางจำเป็นไว้ให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การปักเสาเป็นการกระทำของบุคคลภายนอกประกอบกับตามภาพถ่ายท้ายคำร้องจำเลยก็ยังสามารถผ่านเข้าออกได้ ไม่จำเป็นต้องรื้อรั้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมให้ทางทิศใต้ของที่ดินของโจทก์เป็นทางจำเป็นเพื่อเป็นทางเดินร่วมกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โดยให้มีความกว้าง 2 วา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ต่อมาจำเลยทั้งสองตกลงยินยอมให้โจทก์ทำประตูรั้วเหล็กเป็นทางเข้าออกของทางจำเป็นดังกล่าว โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการให้โจทก์เปลี่ยนกุญแจรั้วและมอบกุญแจให้แก่จำเลยทั้งสองใช้ไขเข้าออกได้ คู่ความทั้งสองฝ่ายพอใจและไม่ติดใจในการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง ฉบับลงวันที่ 21 กันยายน 2549 โดยระบุในคำร้องว่ามีบุคคลภายนอกซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับประตูรั้วเหล็กนำเสาปูนมาปักหน้าประตูรั้วเหล็กทำให้ปากทางจำเป็นคับแคบลงจำเลยทั้งสองไม่สามารถนำรถยนต์เข้าออกได้ เห็นว่า ตามคำร้องที่จำเลยทั้งสองไม่สามารถนำรถยนต์เข้าออกได้ เห็นว่า ตามคำร้องที่จำเลยทั้งสองอ้างมิได้ระบุว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือผิดข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 แต่อย่างใด การที่บุคคลภายนอกนำเสาปูนมาปักหน้าประตูรั้วเหล็กก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บุคคลภายนอกต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share