แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยพลัน แต่ทางปฏิบัติจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดหลังจากครบกำหนดแล้ว โจทก์ก็ผ่อนผันยอมรับชำระตลอดมา โจทก์ก็อ้างในคำฟ้องว่าสัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังยินยอมรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 อีกหลายครั้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ถือเอาข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ แต่ถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อไป เมื่อคู่สัญญามีเจตนาถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อกัน และต่อมามิได้มีการบอกเลิกสัญญาแก่กัน โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์มิได้อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่โจทก์ยึดรถคืนกลับมาถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิม จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ไป1 คัน ในราคา 209,700 บาท และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้ โดยจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อล่วงหน้า 40,000 บาทส่วนที่เหลือจำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะชำระให้โจทก์เป็น 36 งวดงวดละ 4,700 บาท งวดแรกชำระในวันที่ 16 พฤษภาคม 2526 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 16 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยที่ 1ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ 16 กันยายน 2527ให้โจทก์เพียง 3,900 บาท ยังขาดอยู่อีก 800 บาท และผิดนัดตั้งแต่งวดดังกล่าวเป็นต้นมา เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้งวดที่ 17 โจทก์จึงถือว่าสัญญาได้เลิกกันตั้งแต่วันที่ 16กันยายน 2527 โดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน จำเลยที่ 1ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถคืนแก่โจทก์ เจ้าหน้าที่โจทก์ติดตามยึดรถคืนได้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2528 รถอยู่ในสภาพได้รับความเสียหายมาก เนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน โจทก์ต้องทำการซ่อมแซมเพื่อให้ได้ใช้งานได้ ช่างได้ประเมินราคาค่าซ่อมเป็นเงิน 23,158 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบรถเช่าซื้อคืนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์ที่โจทก์ควรได้เดือนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือนเศษ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 48,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น 71,158 บาทโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนแจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 124,100 บาท การชำระค่างวดแต่ละงวด โจทก์ได้ผ่อนผันแก่จำเลยที่ 1 ตลอดมา โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระตรงตามงวดครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1 ได้ชำระให้แก่โจทก์ในเดือนมิถุนายน 2528 ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับโดยไม่อิดเอื้อน รถยนต์คันดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพที่เสียหายมาก โจทก์ประเมินราคาค่าซ่อมเกินความจริง หลังจากโจทก์ยึดรถคืนไปแล้ว โจทก์ก็สามารถนำรถขายได้อีก โจทก์ไม่ได้เสียหายและไม่ได้ขาดประโยชน์ โจทก์กลับได้ประโยชน์จากการขายรถยนต์คันดังกล่าวเสียอีกดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 1ได้เช่าซื้อรถยนต์กระบะของโจทก์ 1 คัน ในราคา 209,700 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้า 40,000 บาท ส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็น 36 งวด งวดละ 4,700 บาท งวดสุดท้าย 5,200 บาท เริ่มชำระงวดแรก วันที่ 16 พฤษภาคม 2526 งวดต่อไปชำระทุกวันที่16 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ ในการชำระค่าเช่าซื้อตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระตรงตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญามาตั้งแต่ต้น ซึ่งโจทก์ยอมผ่อนผันให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน2528 อันเป็นการชำระค่าเช่าซื้อประจำงวดที่ 17 ซึ่งถึงกำหนดชำระตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2527 ต่อมาวันที่ 11ตุลาคม 2528 โจทก์ได้ยึดรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อคืนมา และเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2529 โจทก์จึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 8 ได้ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดยอมให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน และข้อ 10 ระบุว่าในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดผิดสัญญาหลายครั้งหลายอย่าง ถ้าเจ้าของผ่อนผันการผิดนัดผิดสัญญาครั้งใดอย่างใด ไม่ให้ถือว่าเป็นการผ่อนผันการผิดนัดหรือผิดสัญญาครั้งอื่นอย่างอื่น ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดงวดที่ 17 แล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เห็นว่าแม้สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2จะได้ระบุไว้ในข้อ 8 ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยพลันก็ตามแต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ต้นตลอดมา โดยมิได้ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดแต่ละงวดโดยชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดหลังจากครบกำหนดแล้ว ซึ่งโจทก์ผ่อนผันยอมรับค่าเช่าซื้อที่ชำระไม่ตรงตามกำหนดนั้นตลอดมาดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าคู่สัญญามิได้ถือเอาข้อตกลงในสัญญาข้อ 8ดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์อ้างในคำฟ้องเป็นหลักแห่งข้อหาว่า สัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันตั้งแต่วันที่16 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน แต่ปรากฏว่าหลังจากวันที่ 16 กันยายน 2527โจทก์ก็ยังยินยอมรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 อีกหลายครั้งคือรับเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2527 วันที่ 22 มกราคม 2528 วันที่30 มกราคม 2528 วันที่ 30 เมษายน 2528 วันที่ 30 พฤษภาคม 2528และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2528 ตามใบรับชั่วคราวเอกสารหมาย ล.12 ถึง ล.17 การที่โจทก์ยังรับค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 หลังจากวันที่ 16 กันยายน 2527 ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ถือเอาข้อสัญญาที่ว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันเป็นสาระสำคัญ แต่โจทก์กลับยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อไป จึงได้ยอมรับค่าเช่าซื้อไว้ เมื่อคู่สัญญามีเจตนาถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อกัน และต่อมาก็มิได้มีการบอกเลิกสัญญาแก่กันเช่นนี้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองคำพิพากษาฎีกาที่ 2556/2533 ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การที่โจทก์ยึดรถคืนกลับมา ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิมนั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์มิได้อ้างหลักแห่งข้อหาว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแต่โจทก์อ้างหลักแห่งข้อหาว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2527 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน