แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าได้ก่อสร้างสิ่งใด ๆ ลงในที่ ๆ เช่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับที่ดิน ก.ม.ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้เป็นเจ้าของที่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 107 ถ้าผู้เช่ารื้อถอนก็ต้องรับผิดฐานละเมิด
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยได้เช่าบ้านโจทก์อยู่โดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน จำเลยได้ทำถนนซีเมนต์โดยจำเลยออกทรัพย์ทำเองทั้งสิ้นและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยเลิกการเช่าต่อกัน จำเลยให้คนไปขุดกระทุ้งพื้นถนนซีเมนต์ แล้วขนเอาซีเมนต์ไป โจทก์หาว่าจำเลยทำละเมิดและเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การก่อสร้างรายนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการก่อสร้างขึ้นเพียงชั่วคราว จึงเป็นลักษณะทรัพย์ติดที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเป็นฝ่ายออกทรัพย์ทำขึ้นเอง เมื่อเลิกสัญญาเช่า ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยรื้อถอนไปโจทก์ต้องแสดงเจตนาเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งดังบทบัญญัติของมาตรา ๑๓๑๑ ป.ม.แพ่งฯ แต่ไม่ได้ความว่าโจทก์ได้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเลย โจทก์จะถือเป็นเจ้าของโดยไม่ชดใช้ให้แก่จำเลยบ้างหาชอบไม่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในถนนรายพิพาทนี้ จำเลยไม่มีสิทธิ์จะรื้อถอนเอาทรัพย์นั้นไปโดยพละการ เมื่อจำเลยรื้อไปโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ จึงเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ แม้จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๓๑๑, ๑๓๑๔ ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเลือกเอาอย่างหนึ่งอย่างใดได้ จึงพิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถนนที่จำเลยทำขึ้นในที่ซึ่งเช่าโจทก์เช่นนี้กฎหมายถือว่าเป็นส่วนควบ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๐๗ จำเลยไม่มีอำนาจรื้อถอนไปได้ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์