แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้สืบสิทธิของ ร. ฟ้องเรียกที่ดินมรดกซึ่ง ร. ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง และมิได้มอบหมายให้จำเลยครอบครองดูแลที่ดินมรดกส่วนของ ร. เมื่อโจทก์ฟ้องคดีมรดกพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 จำเลยยกอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขึ้นต่อสู้ แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วปรับด้วยมาตรา 1375วินิจฉัยว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาททรัพย์มรดกเกินกว่าหนึ่งปี โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนก็ตาม ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม มาตรา 1754 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายเกิดกับนางรัตน์ ทองศรีและมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน รวมทั้งนายยอด ทองศรีเจ้ามรดก ต่อมานายยอดได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 1ก่อนปี 2478 ไม่มีบุตรด้วยกัน วันที่ 18 มีนาคม 2522 นายยอดตายไปโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม นายยอดมีมรดกคือที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 18 ไร่ 93 ตารางวา ซึ่งตกได้แก่จำเลยที่ 1 และนางรัตน์มารดา ส่วนบิดานายยอดได้ตายไปก่อนแล้ว นางรัตน์ได้มอบที่ดินมรดกให้จำเลยที่ 1 ครอบครองแทนตลอดมาจนถึงวันที่29 ธันวาคม 2522 นางรัตน์ตายไปโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม โจทก์และทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางรัตน์ รวม 12 คน ยังคงให้จำเลยที่ 1ทำประโยชน์และครอบครองแทนตลอดมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2530จึงทราบว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ขอจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกของนายยอดรวมทั้งส่วนที่เป็นมรดกของนางรัตน์เป็นของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินมรดกทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่ายังมีโจทก์และทายาทอื่นที่มีสิทธิรับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่นางรัตน์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนการยกให้ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 357ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี เฉพาะเนื้อที่9 ไร่ 46 ตารางวา แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวเฉพาะเนื้อที่ 9 ไร่ 46 ตารางวา ให้แก่โจทก์และทายาทของนางรัตน์หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายเกิด บิดานายยอดได้ยกที่ดินพิพาทให้นายยอดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งหมดเพื่อตนเองตลอดมาไม่ได้ครอบครองแทนทายาทอื่น เมื่อวันที่15 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 ขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทของนายยอด แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 โดยโจทก์และทายาทอื่นไม่เคยไปติดต่อขอแบ่งมรดกที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองโดยเปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่รู้ว่านายยอดเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาททรัพย์มรดกของนางรัตน์ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนายยอดตายแล้วนางรัตน์ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท และนางรัตน์ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ครอบครองดูแลที่ดินพิพาทส่วนของนางรัตน์แทนนางรัตน์แต่อย่างใด โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้สืบสิทธิของนางรัตน์ฟ้องคดีมรดกของนายยอดเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 1754แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 1375 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เป็นการพิจารณาและพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกมรดกจากจำเลยและจำเลยได้ยกอายุความมรดกตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน