คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยกอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งฟ้องเรียกที่ดินมรดกจากจำเลย แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ปรับเข้า ป.พ.พ. มาตรา 1375 วินิจฉัยว่า จำเลยแย่งการครอบครองที่ดิน พิพาททรัพย์มรดกเกินกว่าหนึ่งปี โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนก็ตามศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกตามมาตรา 1754 ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายเกิดกับนางรัตน์ ทองศรีและมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน รวมทั้งนายยอด ทองศรีเจ้ามรดก ต่อมานายยอดได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 1 ก่อนปี2478 ไม่มีบุตรด้วยกัน วันที่ 18 มีนาคม 2522 นายยอดตายไปโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม นายยอดมีมรดกคือที่ดิน 1 แปลง จำนวนเนื้อที่18 ไร่ 93 ตารางวา ซึ่งตกได้แก่จำเลยที่ 1 และนางรัตน์ มารดาส่วนบิดานายยอดได้ตายไปก่อนแล้ว นางรัตน์ได้มอบที่ดินมรดกให้จำเลยที่ 1 ครอบครองแทนตลอดมา จนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2522นางรัตน์ตายไปโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม โจทก์และทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางรัตน์ รวม 12 คน ยังคงให้จำเลยที่ 1 ทำประโยชน์และครอบครองแทนตลอดมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2530 จึงทราบว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ขอจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกของนายยอดรวมทั้งส่วนที่เป็นมรดกของนางรัตน์ เป็นของจำเลยที่ 1เพียงผู้เดียว แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินมรดกทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่ายังมีโจทก์และทายาทอื่นที่มีสิทธิรับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่นางรัตน์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนการยกให้ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 357 ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฉพาะเนื้อที่ 9 ไร่ 46 ตารางวาแล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวเฉพาะเนื้อที่ 9 ไร่46 ตารางวาให้แก่โจทก์และทายาทของ นางรัตน์ ทองศรี หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่านายเกิดบิดานายยอดได้ยกที่ดินพิพาทให้นายยอดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งหมดเพื่อตนเองตลอดมาไม่ได้ครอบครองแทนทายาทอื่นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 ขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทของนายยอด แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 โดยโจทก์และทายาทอื่นไม่เคยไปติดต่อขอแบ่งมรดกที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองโดยเปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่รู้ว่านายยอดเจ้ามรดกถึงแก่ความตายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาททรัพย์มรดกของนางรัตน์ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนายยอดตายแล้ว นางรัตน์ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท และนางรัตน์ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ครอบครองดูแลที่ดินพิพาทส่วนของนางรัตน์แทนนางรัตน์แต่อย่างใด โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้สืบสิทธิของนางรัตน์ฟ้องคดีมรดกของนายยอดเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 1375 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีมรดก เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เป็นการพิจารณาและพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกมรดกจากจำเลย และจำเลยได้ยกอายุความมรดกตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกตามมาตรา 1754แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share