แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยและบุคคลอื่นจะได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ในที่ดินป่าชายเลนที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยชอบหรือไม่อย่างไรนั้นย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานของรัฐผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องเป็นผู้ดำเนินการพิสูจน์สิทธิของจำเลยไปตามหน้าที่ เมื่อโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องและพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงนี้ต่อไป
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายโสพันธ์ สินธุบดี และนายอำนวย สินธุบดี ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองหรือไม่ ในข้อนี้ทั้งโจทก์จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองต่างก็มีพยานหลายปากมาเบิกความว่า แต่ละฝ่ายต่างครอบครองที่ดินพิพาทกันมาเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่จำเลยจะขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ทะเบียน เลขที่ 3426 ตามเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่จำเลย ซึ่งเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวนี้ได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์และบุคคลอื่นเคยร้องเรียนต่อนายอำเภอขนอมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่าทางราชการออกให้แก่จำเลยโดยมิชอบ ศาลฎีกาได้พิจารณาเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวโดยตลอดแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกกล่าวหาว่าจำเลยกับบุคคลอื่นได้เข้าครอบครองและขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์บริเวณที่ดินป่าชายเลนที่ประชาชนหลายหมู่บ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน และตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้นำเอาที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองอย่างเป็นเจ้าของไปขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่จำเลยดังโจทก์ฟ้อง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนการที่จำเลยและบุคคลอื่นจะได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในที่ดินป่าชายเลนที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยชอบหรือไม่อย่างไรนั้น ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานของรัฐผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ดำเนินการพิสูจน์สิทธิของจำเลยไปตามหน้าที่ เมื่อโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน