คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ ซึ่งโจทก์ได้ส่งสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้องแล้วแม้ในฟ้องจะได้กล่าวถึงที่มาหรือมูลหนี้ของสัญญากู้ฉบับที่โจทก์ฟ้อง แต่ไม่ได้กล่าวรายละเอียดต่างๆ ของที่มาหรือมูลหนี้นั้นไว้ด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาการเรียกดอกเบี้ยค้างชำระได้เกิน 5 ปีหรือไม่ เป็นปัญหาเรื่องอายุความ ซึ่งศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ฉะนั้น ปัญหาเรื่องอายุความจึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จึงฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไปใช้ส่วนตัวบ้าง ซื้อหุ้นบริษัทบ้างและเข้าหุ้นประกอบกิจการค้าร่วมกันบ้างหลายครั้งหลายคราว ได้คิดบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ แต่ไม่มีเงินชำระ จึงแปลงหนี้เดิมเป็นหนี้เงินกู้โดยจำเลยทำหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งลงวันที่ 1 ตุลาคม2508 เป็นเงิน 174,042 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดใช้คืนภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2510 อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2510 เป็นเงิน936,500 บาท ดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือน กำหนดใช้คืนภายใน 5 เดือนตามสำเนาท้ายฟ้อง จำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินทั้งสองรายนี้คิดดอกเบี้ยของต้นเงินราย 174,042 บาท เป็นเวลา 5 ปีถึงวันฟ้อง เป็นเงิน130,531 บาท ดอกเบี้ยของต้นเงินราย 936,500 บาท เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน27 วัน เป็นเงิน 478,364.20 บาท ทวงถามแล้วไม่ยอมชำระให้ จึงขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 1,719,437.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 1,110,542 บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ไม่เคยยืมเงินของโจทก์ไปใช้ดังฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้ทั้งสองฉบับให้โจทก์ โจทก์กับนายพงษ์พันธ์บุตรโจทก์และนายกิมจั๊วได้ร่วมกันปลอมสัญญากู้ดังกล่าวอันถือได้ว่าเป็นเอกสารเท็จ โจทก์ไม่น่าจะมีเงินให้จำเลยกู้ สัญญากู้มิได้ปิดอากรแสตมป์ และไม่มีชื่อผู้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยยืมเงินไปใช้ส่วนตัวเท่าใด ซื้อหุ้นบริษัทอะไร เมื่อใดและเป็นเงินเท่าใดเข้าหุ้นประกอบกิจการค้าอะไร เมื่อใด การยืมเงินไปใช้ในกิจการที่โจทก์อ้างนั้น ลงในสัญญาฉบับไหนบ้างฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม สัญญากู้ทั้งสองฉบับปิดอากรแสตมป์และมีการขีดฆ่าแล้ว จำเลยยืมเงินโจทก์ไปใช้หลายครั้ง ไม่มีเงินชำระ จึงได้ทำสัญญากู้ให้ไว้ดังฟ้องพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 174,042 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้องคิดระยะเวลาเพียง5 ปี เป็นเงิน 130,531 บาท จำนวนหนึ่ง ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง และให้จำเลยใช้เงิน 936,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันกู้จนกว่าจะชำระเสร็จอีกจำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยยืมเงินไปใช้ส่วนตัวเท่าใด เมื่อใด ยืมเงินไปซื้อหุ้นบริษัทอะไร จำนวนหุ้นเท่าใด มูลค่าหุ้นละเท่าใดโจทก์จำเลยเข้าหุ้นประกอบการค้าประเภทใดได้พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ซึ่งโจทก์ได้ส่งสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้องแล้ว ที่โจทก์กล่าวถึงการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้ส่วนตัวหรือซื้อหุ้นบริษัทและได้ประกอบกิจการค้าร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยนั้น เป็นการกล่าวถึงที่มาหรือมูลหนี้ของสัญญากู้ฉบับที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ฉะนั้น รายละเอียดต่าง ๆ ของที่มาหรือมูลหนี้นั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา หาจำเป็นต้องกล่าวไว้โดยละเอียดในฟ้องไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด

ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนว่าศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องในต้นเงิน174,042 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จไม่ชอบ เพราะเป็นการให้ชำระดอกเบี้ยเกิน 5 ปี และเกินคำขอของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในการเรียกดอกเบี้ยค้างชำระนั้น ปัญหาว่าจะเรียกได้เกิน 5 ปีหรือไม่ เป็นปัญหาเรื่องอายุความซึ่งศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ฉะนั้น ปัญหาเรื่องอายุความ จึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จึงฎีกามิได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ แต่ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์นั้น ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้มีคำขอส่วนนี้ไว้แล้ว จึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ไม่

และศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงกับปัญหาอื่นที่จำเลยฎีกาแล้ว

พิพากษายืน

Share