คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7186/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์บางส่วนก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่โจทก์ไม่ได้ตกลงระงับข้อพิพาทหรือสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 แก่จำเลย จึงไม่เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2536 จำเลยสั่งซื้อน้ำมันหลายชนิดไปจากโจทก์เป็นเงิน 200,000 บาทและออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาอำเภอปราสาทรวม 4 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 50,000 บาทหมายเลข 01256-36 ถึง 0156939 วันที่ 25 กรกฎาคม 2536วันที่ 25 สิงหาคม 2536 วันที่ 5 กันยายน 2536 และวันที่25 ตุลาคม 2536 ตามลำดับ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ก่อนเช็คถึงกำหนดจำเลยขอผัดให้นำเช็คไปเบิกเงินในกลางเดือนพฤศจิกายน 2536เมื่อถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2536 เวลากลางวัน โจทก์จึงนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2536 ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 4 กระทง รวมจำคุก8 เดือน จำเลยชำระหนี้แล้วบางส่วน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งคงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า การที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์บางส่วนในระหว่างการพิจารณาของศาลนั้น เป็นการชำระหนี้หลังจากจำเลยกระทำความผิด มีผลเพียงเพื่อบรรเทาความเสียหายของโจทก์ลงบางส่วนคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยว่าการที่จำเลยชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์เป็นบางส่วนก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาถือว่าโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้วอันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปหรือไม่เห็นว่า แม้จำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์แต่ก็ไม่ครบจำนวนเงินในเช็ค ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงระงับข้อพิพาทหรือสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยแต่อย่างใด จึงฟังได้แต่เพียงว่า หากจำเลยนำเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท มาชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยเมื่อจำเลยไม่ได้นำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วน จึงไม่มีผลเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share