แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 50 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 24 ต้องระวางโทษปรับสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิด หรือที่ยังขาดอยู่แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาทฯ นั้น บทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดโทษปรับไว้ตายตัวว่าจะต้องปรับสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดฯ ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจกำหนดโทษปรับให้น้อยกว่าสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 4,5, 15, 19, 23, 24, 44, 49, 50 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509มาตรา 19 วรรคแรก, 24 วรรคแรก, 49, 50 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาสูบที่ผลิตในต่างประเทศที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษปรับ 202,500 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่มิให้เกิน 2 ปี ริบยาสูบของกลางเป็นของกรมสรรพสามิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า มาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 เป็นบทกำหนดโทษให้ศาลมีอำนาจที่จะปรับเท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิด จึงขอให้กำหนดโทษปรับให้น้อยลงอีกนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 50 บัญญัติว่า”ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 24 ต้องระวางโทษปรับสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดหรือที่ยังขาดอยู่แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาทฯ” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดโทษปรับไว้ตายตัวว่าจะต้องปรับสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดฯ โดยมิได้ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะกำหนดโทษปรับเท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิด ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจกำหนดโทษปรับให้น้อยกว่าสิบห้าเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดได้
พิพากษายืน