คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7183/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เป็นนิติกรรมนอกวัตถุประสงค์ของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว และโจทก์มิได้อุทธรณ์เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
สัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ ปรส. ระหว่างโจทก์กับ ปรส. เกิดขึ้นจากการที่ พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 7 (3) ให้อำนาจ ปรส. มีอำนาจชำระบัญชีบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการซึ่งในคดีนี้คือ บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) เพราะบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ดังกล่าวไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้ และพระราชกำหนดดังกล่าวมาตรา 30 วรรคหนึ่ง ยังให้อำนาจ ปรส. มีอำนาจขายทรัพย์สินเพื่อชำระบัญชีของบริษัทดังกล่าวได้อีกโดยเปิดประมูลอย่างเปิดเผย เมื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์และสินเชื่อซึ่งมีจำเลยเป็นลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ การซื้อขายของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นไปตามที่ พ.ร.ก.การปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 กำหนด สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาซื้อขายความกัน และมิได้เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 379,566.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 262,305 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 379,566.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 262,305 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ระงับดำเนินกิจการและได้ปิดกิจการโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและการชำระบัญชีขององค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อสินค้าและสินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) ได้จาก ปรส. สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เป็นนิติกรรมนอกวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวและโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า สัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงิน (ปรส.) ฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2542 นั้น เป็นการทำสัญญาซื้อขายความกันและเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่นั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 7 (3) ให้อำนาจองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) มีอำนาจชำระบัญชีบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ซึ่งในคดีนี้คือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) เพราะในกรณีนี้บริษัท เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) ไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้และเมื่อให้อำนาจตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว พระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 30 วรรคหนึ่ง ยังให้อำนาจองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีอำนาจขายทรัพย์สินเพื่อชำระบัญชีของบริษัท เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) ได้อีกโดยให้เปิดประมูลอย่างเปิดเผย ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์และสินเชื่อซึ่งมีจำเลยเป็นลูกหนี้ของบริษัท เอ็ม.ซี.ซี. จำกัด (มหาชน) ได้ การซื้อขายของโจทก์ดังกล่าวเป็นไปตามที่พระราชกำหนดการปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 กำหนด สัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินระหว่างโจทก์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) จึงหาใช่สัญญาซื้อขายความกันและเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามที่จำเลยฎีกาไม่…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share