แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำนิติกรรมตามฟ้องนอกจากจำเลยแล้วยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคน แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียวโดยมิได้ฟ้องบุคคลดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้ว หากศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมตามคำขอของโจทก์แล้ว ย่อมเป็นการพิพากษากระทบไปถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145จึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ปัญหาดังกล่าวแม้คู่ความจะไม่อุทธรณ์และฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองและพิพากษายกฟ้องโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทุกับนางโดด สีดาวนายทุกับนางโดดมีบุตรด้วยกัน 4 คน คือโจทก์ที่ 1 นางทองคำหรือคำ สีดาวหรือเฮงมุ้ย นายอ่ำ สีดาว และจำเลย โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรนางทองคำหรือคำ นางโดดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1467 นางโดดถึงแก่กรรมไปแล้ว โจทก์ที่ 1 กับทายาทอีก 3 คน ของนางโดด ได้ร่วมกันยื่นขอรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าว เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนให้โจทก์ที่ 1กับพวกถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันต่อมานายอ่ำได้ปลอมลายพิมพ์นิ้วมือนางทองคำหรือคำมารดาโจทก์ที่ 2 และปลอมลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 ลงในใบมอบฉันทะให้นายอ่ำเป็นผู้มีอำนาจขายที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วนายอ่ำได้โอนขายที่ดินให้แก่นางโดด (ไม่ปรากฏนามสกุล) การซื้อขายระหว่างนายอ่ำกับนางโดดเป็นโมฆะ นางโดดผู้ซื้อจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ต่อมานางโดดได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายอ่ำหลังจากนั้นนายอ่ำได้โอนขายให้แก่จำเลย การจดทะเบียนโอนภายหลังนางโดดรับโอนมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ที่ 1 ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปัจจุบันได้เข้าครอบครองทำประโยชน์เป็นสัดส่วนและทำนาร่วมกับทายาทอื่นตลอดมา จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น โจทก์ทั้งสองจึงไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขามีนบุรี จึงทราบความจริงดังกล่าว โจทก์ทั้งสองเคยติดต่อให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้วแต่จำเลยไม่ยินยอมขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินโฉนดที่ 1467ตำบลคลองสาม (คลองประเวศ) อำเภอแสนแสบ (ลาดกระบัง)กรุงเทพมหานคร ระหว่างนายอ่ำผู้ขายกับนางโดดผู้ซื้อให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างนางโดดผู้ให้กับนายอ่ำผู้รับให้ และเพิกถอนนิติกรรมการขายระหว่างนายอ่ำผู้ขายกับจำเลยผู้ซื้อ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองที่อ้างว่านายอ่ำ สีดาว ปลอมใบมอบฉันทะของโจทก์ที่ 1 และนางทองคำหรือคำมารดาโจทก์ที่ 2 นั้น ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองคือนายอ่ำ จำเลยมิได้เกี่ยวข้องด้วย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ฟ้องโจทก์ทั้งสองบรรยายไม่ชัดเจนว่านายอ่ำปลอมลายพิมพ์นิ้วมือหรือลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 หรือนางทองคำรือคำมารดาโจทก์ที่ 2 ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม นายอ่ำไม่ได้ปลอมใบมอบฉันทะและจำเลยได้รับโอนที่ดินต่อมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริต คดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรมนายชม สีดาว บุตรจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์อนุญาต
ระหว่างนัดโจทก์ทั้งสองและจำเลยมาตีราคาที่ดินพิพาทเพื่อเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีและให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้อง ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ นางสาวบุญเรือน สีดาว บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1ซึ่งถึงแก่กรรมศาลอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องจำเลย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวหรือไม่เห็นว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำนิติกรรมตามฟ้องนอกจากจำเลยแล้วยังมีนายอ่ำ นางโดด (ไม่ปรากฏนามสกุล)นางสาวอังสนานางสมหมาย นายชมและนางสาวบุญช่วย แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียวโดยมิได้ฟ้องบุคคลดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้ว หากศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมตามคำขอของโจทก์ทั้งสองแล้วย่อมเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบไปถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145จึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งสองได้ ปัญหาดังกล่าวแม้คู่ความจะไม่อุทธรณ์และฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง เมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าใบมอบฉันทะตามเอกสารหมาย จ.9 ได้มีการปลอมลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 และมีการปลอมลายพิมพ์นิ้วมือนางทองคำหรือคำมารดาโจทก์ที่ 2ตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาหรือไม่ นั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลที่ให้ยกฟ้อง ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน