คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำเอกสารมีข้อความแจ้งชัดว่าโจทก์ยินดียกที่พิพาทตาม ส.ค.1 ให้แก่กรมสามัญศึกษาของจำเลยร่วมได้ใช้ปลูกสร้างโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยมศึกษา โดยโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกค่าชดเชยแต่ประการใด ทั้งโจทก์ได้ลงชื่อเป็นผู้มอบที่ดินและมีนายณรงค์อนันตรังษี ซึ่งรับราชการในตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดลงชื่อเป็นผู้รับมอบที่ดินแทนจำเลยร่วมด้วย เอกสารดังกล่าวเป็นการแสดงชัดว่าโจทก์ได้สละเจตนาครอบครองและได้โอนโดยส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยร่วมไปแล้ว การโอนไปซึ่งการครอบครองโดยส่งมอบที่ดินพิพาทดังกล่าว ย่อมถือว่ามีผลสมบูรณ์เด็ดขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และมาตรา 1378 แล้วโจทก์จะโต้แย้งในภายหลังว่าโจทก์เพียงแต่มีเจตนาจะยกที่พิพาทให้แก่จำเลยร่วมเท่านั้นหาได้ไม่ และนับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบที่พิพาทนั้นไป. การครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมสุดสิ้นลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 208 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ อยู่หมู่ที่ 7 ตำบลโคกปีบ กิ่งอำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรีโดยนางน้อย เชาว์เจริญมารดาโจทก์ยกให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2500 เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2517 โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยคัดค้านว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินของจำเลย เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 80 ตารางวา ซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว เป็นเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่ระงับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์เคยแสดงความจำนงต่อทางราชการว่าจะยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่ทางราชการเพื่อสร้างโรงเรียนประจำกิ่งอำเภอโคกปีบ แต่ยังติดขัดไม่สามารถโอนที่ดินให้ทางราชการได้เพราะเหตุดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินตาม ส.ค.1เลขที่ 208 ดีกว่าจำเลย ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า จำเลยมีที่ดินติดต่อกับที่ดินนางน้อยมารดาโจทก์หลายแปลงและได้ขอออก น.ส.3 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันเนื้อที่ประมาณ103 ไร่เศษ หากที่ดินพิพาทจะเป็นของนางน้อยหรือโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองเกินกว่า 1 ปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องที่ดินของจำเลยดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาท จำเลยได้ตกลงยกให้กระทรวงศึกษาธิการจำนวนเนื้อที่ 25 ไร่ เพื่อสร้างโรงเรียนโคกปีบวิทยาคมแต่มีเหตุขัดข้องไม่สามารถจะรังวัดแบ่งแยกได้เพราะโจทก์ขัดขวางตลอดมาแต่เพื่อให้ทางราชการมั่นใจว่าจำเลยยกที่ดินให้จริง จำเลยจึงจดทะเบียนให้กรมสามัญศึกษาถือกรรมสิทธิ์ร่วม โดยให้ได้เนื้อที่ 10,000 ส่วนในจำนวนเนื้อที่ทั้งหมด 41,361 ส่วนทั้งได้ชี้แนวเขตที่ดินส่วนที่ยกให้ด้วย ขอให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ยื่นคำร้องว่า เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนให้กระทรวงศึกษาธิการแล้วเนื้อที่ 25 ไร่ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินเฉพาะส่วนเนื้อที่ 25 ไร่ดังกล่าว โจทก์อาจต้องฟ้องหรือถูกกระทรวงศึกษาธิการฟ้องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้ศาลหมายเรียกกระทรวงศึกษาธิการเข้าเป็นคู่ความร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)

ศาลชั้นต้นหมายเรียกกระทรวงศึกษาธิการเข้าเป็นจำเลยร่วม

กระทรวงศึกษาธิการจำเลยร่วมให้การว่าจำเลยร่วมเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 86 ร่วมกับจำเลย ขอถือเอาคำให้การของจำเลยเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยร่วมทุกประการ เนื่องจากโจทก์ได้แสดงความจำนงต่อทางราชการว่าจะยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วมเพื่อสร้างโรงเรียนประจำกิ่งอำเภอโคกปีบทั้งจำเลยก็ได้ยกที่พิพาทนี้ให้แก่จำเลยร่วมแล้วเพื่อสร้างโรงเรียนดังกล่าวขอให้โจทก์และจำเลยประนีประนอมยอมความยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วม

ระหว่างพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงกันว่าโจทก์ยอมยกที่พิพาทให้แก่จำเลยร่วมขอให้ศาลชั้นต้นทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้และพิพากษาตามยอม เมื่อศาลชั้นต้นทำสัญญาประนีประนอมยอมความเสร็จแล้ว ปรากฏว่าโจทก์และทนายโจทก์ไม่ลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาและในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงจดรายงานกระบวนพิจารณาใหม่อีกฉบับหนึ่งว่า ฝ่ายโจทก์ไม่ยอมลงชื่อโดยมิแจ้งเหตุใด ๆ แล้วพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วฟังว่าโจทก์จำเลยต่างยกที่ดินให้แก่จำเลยร่วมแล้ว และจำเลยร่วมได้เข้าครอบครองที่ดินทำประโยชน์ตามที่โจทก์จำเลยมอบให้แล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เพียงแต่เจตนาจะยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วมเท่านั้น หาได้ยกให้โดยเด็ดขาดไม่ โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาอย่างเดียวกัยที่อุทธรณ์

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าหลังจากจำเลยร่วมได้รับยกให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์และจำเลยแล้ว จำเลยร่วมโดยกรมสามัญศึกษาได้เข้าครอบครองก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาโคกปีบวิทยาคมจนแล้วเสร็จ เปิดดำเนินการสอนตลอดมาจนบัดนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความแจ้งชัดว่าโจทก์ยินดียกที่ดินพิพาทให้แก่กรมสามัญศึกษาของจำเลยร่วมได้ใช้ปลูกสร้างโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยมศึกษาโดยโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกค่าชดเชยแต่ประการใด ทั้งโจทก์ได้ลงชื่อเป็นผู้มอบที่ดินและมีนายณรงค์ซึ่งรับราชการในตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดปราจีนบุรีขณะนั้นลงชื่อเป็นผู้รับมอบที่ดินแทนจำเลยร่วมด้วย เอกสารหมาย ล.1 ดังกล่าวเป็นการแสดงชัดว่า โจทก์ได้สละเจตนาครอบครองและได้โอนการครอบครองโดยส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยร่วมไปแล้ว การโอนไปซึ่งการครอบครองโดยส่งมอบที่ดินพิพาทดังกล่าว ย่อมถือว่ามีผลสมบูรณ์เด็ดขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และมาตรา 1378 โจทก์จะโต้แย้งในภายหลังว่าโจทก์เพียงแต่มีเจตนาจะยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วมเท่านั้นหาได้ไม่ และนับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบที่พิพาทนั้นไป การครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมสุดสิ้นลง โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยดังฎีกา

พิพากษายืน

Share