แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีที่ดินอยู่ตั้งแต่วันที่27มีนาคม2523การที่โจทก์สมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองและได้สิทธิในการขอออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มาตรา8และ11ก็ดีและต่อมาโจทก์ได้ขอออกน.ส.3ก.สำหรับที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ดีเป็นเพียงขั้นตอนที่โจทก์จะได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าวเท่านั้นไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ที่มีเหนือที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ต้นเมื่อที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่โจทก์มีมาก่อนที่จะอยู่กินและจดทะเบียนสมรสกับจำเลยจึงมิใช่ทรัพย์ที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1474(1)ไม่เป็นสินสมรส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากัน จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2527 ระหว่างอยู่กินด้วยกันจำเลยประพฤติตนไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่อการเป็นภริยา และได้หนีออกจากบ้านโจทก์ไปตั้งแต่ปี 2533 จนถึงวันฟ้องไม่เคยกลับมาหาหรือส่งข่าวคราวให้โจทก์ทราบ เป็นการจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี และไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตามสมควร อีกทั้งยังดูถูกเหยียบหยามโจทก์และบุพการีของโจทก์เสมอ เป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอับอายขายหน้า ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยประพฤติตนผิดประเพณีหรือศีลธรรมอันดีในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยา อีกทั้งมิได้ทิ้งร้างหรือมิได้นำทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ หรือทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันไปจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยและมิได้ดูหมิ่นโจทก์หรือบุพการีโจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ตั้งแต่ปลายปี 2523 ก่อนจดทะเบียนสมรสกันระหว่างที่โจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันนั้นไม่มีบุตร แต่ได้ทำมาหาได้ร่วมกันเกิดมีทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสคือที่ดินจำนวน 3 แปลงที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาและบ้าน 2 หลัง เป็นบ้านเลขที่ 26 และ 27 หมู่ที่ 8ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีราคาประมาณ 3,810,000 บาท ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำให้การของจำเลยจำเลยกลับไปอยู่กับบิดามารดาเนื่องจากโจทก์กับไปคืนดีกับภริยาเดิม เป็นการอุปการะเลี้ยงดูยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา และทิ้งร้างกันเกินกว่า 1 ปี ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา และให้โจทก์แบ่งสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำให้การให้จำเลยกึ่งหนึ่งเป็นเงิน1,905,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ที่ทำมาหาได้ร่วมกันอันจะเป็นสินสมรสทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ก่อนที่จะสมรสกับจำเลยดังนั้นทรัพย์สินต่าง ๆ จึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์แต่เพียงผู้เดียวขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาท 3 แปลงและบ้านพิพาท 2 หลัง เป็นสินสมรส ให้โจทก์แบ่งให้จำเลยกึ่งหนึ่งนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. หมาย ล.2 ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส เห็นว่าตามใบสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองของโจทก์เอกสารหมาย จ.4 และบันทึกการสอบสวนบุคคลผู้สมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งทำขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2523ระบุว่าโจทก์มีภริยาชื่อนางบุญมี และระบุว่าหลักทรัพย์ที่โจทก์มีอยู่ในขณะนั้นคือที่ดิน 50 ไร่ ซึ่งแผนที่สังเขปท้ายบันทึกการสอบสวนดังกล่าวมีรูปที่ดินตรงกับแผนที่รูปที่ดินตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย ล.2 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดิน ตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมายล.2 โจทก์มีอยู่ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2523 ระหว่างเป็นสามีภริยากับนางบุญมี การที่โจทก์สมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองและได้สิทธิในการขอออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 8และ 11 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 ก็ดี และต่อมาโจทก์ได้ขอออกน.ส.3 ก. สำหรับที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ก็ดี เป็นเพียงขั้นตอนที่โจทก์จะได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าวเท่านั้นไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ที่มีเหนือที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ต้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินตามน.ส.3 ก. เอกสารหมาย ล.2 เป็นทรัพย์ที่โจทก์มีมาก่อนที่จะอยู่กินและจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย ล.2จึงมิใช่ทรัพย์ที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) ไม่เป็นสินสมรสฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1551 และบ้านเลขที่ 26 หมู่ที่ 8 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา ไม่เป็นสินสมรส โจทก์ไม่ต้องแบ่งให้จำเลยกึ่งหนึ่ง ส่วนที่ดินพิพาทแปลง 8 ไร่ และ 2 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์จำเลย ให้โจทก์จำเลยแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1