แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่รถแล่นคนละช่อง ต้องรักษาช่องเดินรถของตน เมื่อจะเปลี่ยนช่องต้องระวังมิให้กีดขวางรถที่แล่นอยู่ในช่องนั้น ๆ เมื่อจะเลี้ยวรถทางซ้ายจะต้องแล่นชิดขอบทางด้านซ้าย จะเลี้ยวได้เมื่อสามารถกระทำได้โดยปลอดภัย ถ้าหากแล่นเข้าไปกีดขวางในช่องทางเดินรถอื่นแล้ว อันตรายเกิดขึ้นเพราะการกระทำของตนจะต้องรับผิด เมื่อให้สัญญาณเลี้ยวแล้ว จะเลี้ยวทันทีไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะป้องกันอันตรายได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์ แล่นมาในเส้นทางเดียวกัน โดยจำเลยที่ ๑ ขับรถอยู่หน้า จำเลยที่ ๒ ขับรถตามหลังห่างกันประมาณ ๑๒ เมตร จำเลยที่ ๑ จะเลี้ยวรถเข้าซอยทางซ้ายมือ ได้เบนรถเข้ามาทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยโดยไม่ได้มองทางท้ายรถว่ามีรถอื่นตามมาในระยะต่ำกว่า ๑๕ เมตรหรือไม่ จำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความเร็วประมาณ ๒๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ดูสัญญาณไฟเลี้ยวรถของจำเลยที่ ๑ เมื่อเห็นรถจำเลยที่ ๑ เลี้ยวจะเข้าซอยดังกล่าว แทนที่จะหยุดรถหรือหักรถไปทางขวามือ กลับหักรถไปทางซ้ายมือ เป็นเหตุให้รถจำเลยที่ ๒ ชนรถจำเลยที่ ๑ คนนั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ ให้จำคุก ๒ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ มิได้ประมาท พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้เหตุเกิดในถนนสุขุมวิทย์ซึ่งมีความกว้างข้างละ ๑๐.๒๐ เมตร ข้างหนึ่งแบ่งช่องทางเดินรถเป็น ๓ ช่อง ช่องที่ ๑ กว้าง ๓.๕๐ เมตร รถยนต์บรรทุกแล่นคร่อมช่องที่ ๑ และช่องที่ ๒ โฉมหน้าไปทางสี่แยกราชประสงค์ มีรถจักรยานยนต์สองล้อของจำเลยที่ ๒ แล่นในช่องที่ ๑ ห่างขอบถนนทางซ้าย ๑ เมตร อยู่ห่างรถยนต์บรรทุกทางด้านหลัง ๑๒ เมตร (ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์) พอรถยนต์บรรทุกแล่นไปใกล้ปากซอยบ้านกล้วยใต้ ยังห่าง ๘ เมตร รถยนต์บรรทุกเข้าไปแล่นอยู่ในช่องที่ ๒ เต็มคัน ครั้นรถยนต์บรรทุกแล่นไปห่างปากซอย ๓ เมตร รถยนต์บรรทุกก็เลี้ยวเข้าซอยทางด้านซ้ายเฉียงขวางทางรถในช่องที่ ๑ รถจักรยานยนต์จึงห้ามล้อ มีรอยห้ามล้อเป็นทางยาว ๕.๓๐ เมตร ไปถึงปากซอย จุดที่ชนอยู่ตรงปากซอยในช่องที่ ๑ ห่างขอบทางด้านซ้าย ๑ เมตร ชนแล้วรถจักรยานยนต์เข้าไปใต้ท้องรถยนต์บรรทุก รถยนต์บรรทุกได้พารถจักรยานยนต์ครูดเข้าไปในซอย ๕.๖๐ เมตรจึงหยุด ท้ายรถบรรทุกพอดีกับปากซอย ตัวรถบรรทุกยาว ๖.๒๐ เมตร รถยนต์บรรทุกคันนี้บรรทุกส้มมะขามเปียก ๖๐ เข่ง น้ำหนัก ๔ ตัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่รถแล่นคนละช่องต้องรักษาช่องเดินรถของตน เพราะรถที่เดินในช่องอื่นย่อมแล่นขนานหรือผ่านไปได้ในช่องเดินรถของเขา รถที่แล่นช่องกลางอย่างรถยนต์บรรทุกของ จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ เมื่อจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาหรือขึ้นหน้ารถอื่นซึ่งจะต้องแล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถช่องที่ ๑ และช่องที่ ๓ มีหน้าที่ต้องระมัดระวังมิให้แล่นตัดหน้ารถอื่นในช่องทางเดินรถนั้น ๆ รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ เลี้ยวเฉียงซ้ายเข้าซอยบ้านกล้วยใต้จะต้องขวางทางเดินรถในช่องที่ ๑ การเลี้ยวรถทางซ้าย รถจะต้องเดินชิดขอบซ้ายของทางตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙ วรรค ๒ แต่รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติเช่นนั้น อ้างว่าซอยหักเป็นข้อศอกต้องตีวงให้กว้างจึงจะเข้าซอยได้ รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ จึงแล่นในช่องกลางและแล่นเฉียงเข้าไปในช่องที่ ๑ ก่อนถึงปากซอย ๓ เมตร ในกรณีเช่นนี้รถยนต์บรรทุกมีหน้าที่จะต้องระวังไม่ให้กีดขวางรถอื่นในช่องนั้น และสามารถกระทำได้โดยปลอดภัย เพราะเป็นที่เห็นได้ว่า หากแล่นเข้าไปกีดขวางในช่องทางเดินรถอื่นแล้วอันตรายจะเกิดขึ้นเพราะการกระทำของตน แต่ฝ่ายรถยนต์บรรทุกหาได้ระมัดระวังไม่ โดยได้แล่นเฉียงเข้าไปทั้ง ๆ ที่มีรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๒ แล่นอยู่ในช่องที่ ๑ ในระยะใกล้ ทั้งนี้ ได้ความว่ารถยนต์บรรทุกมีเข่งส้มมะขามเปียกบรรทุกอยู่ถึง ๖๐ เข่ง คนขับรถบรรทุกนั่งอยู่ทางขวาของรถไม่เห็นรถที่แล่นในช่องที่ ๑ ในระยะใกล้มาก นายแอนที่นั่งข้างคนขับทางซ้ายก็มองไม่เห็นรถใกล้เช่นกัน จึงบอกว่าหลังว่างเลี้ยวได้ รถยนต์บรรทุกจึงแล่นเฉียงเข้าไปในช่องที่ ๑ ทันที เพื่อจะเลี้ยวเข้าซอย เมื่อรถจักรยานยนต์เห็นดังนั้นจึงเริ่มห้ามล้อ แต่ระยะใกล้เพียง ๕.๓๐ เมตร ไม่สามารถจะหยุดได้ทัน เพราะรถยนต์บรรทุกแล่นเฉียงเข้ามาอย่างกะทันหัน ดังจะเห็นได้ว่า แม้รถชนกันแล้วรถยนต์บรรทุกยังครูดพารถจักรยานยนต์เข้าซอยไปอีก ๕.๖๐ เมตร การที่รถชนกันนี้จึงเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ซึ่งนำรถเข้ามาขวางทางแล่นในช่องของรถจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ จะแก้ตัวว่าได้ให้สัญญาณแล้วหาได้ไม่ เพราะการให้สัญญาณแล้วเลี้ยวทันที ไม่สามารถจะป้องกันอันตรายได้ ส่วนข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถเร็วประมาณ ๒๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อใกล้จะผ่านซอยบ้านกล้วยใต้ซึ่งเป็นทางแยกนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ขับรถเข้ามาขวางทางแล่นในช่องของจำเลยที่ ๒ โดยกระชั้นชิด แม้จะขับรถเร็วน้อยกว่านี้ก็ต้องชนอยู่นั่นเอง หาใช่เป็นความประมาทของจำเลยที่ ๒ ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทถูกต้องแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์.