แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทะเบียนรถยนต์ไม่เหมือนโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นเอกสารอันเป็นที่ตั้งแห่งกรรมสิทธิทะเบียนรถยนต์เป็นแต่พยานหลักฐาอย่างหนึ่งที่แสดงว่า ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถ
การซื้อขายรถยนต์ โดยฝ่ายผู้ซื้อรับมอบรถไป และต่างตกลงกันว่าฝ่ายผู้ซื้อจะต้องชำระราคาให้หมดเสยีก่อน ผู้ขายจึงจะโอนทะเบียนให้นั้น เป็นเงื่อนไขตาม ป.ม.แพ่งมาตรา 559 ซึ่งกรรมสิทธิ์ในรถยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อ
เงินประมูลรคาทรัพย์สินพิพาทซึ่งฝ่ายที่ประมูลได้นำเงินมาวางศาลไว้โดยมีข้อยกตกลงกันว่า “ในที่สุดใครชนะคดีก็มีสิทธิได้เงินนั้นไป” นั้นหมายถึงชนะคดีเมื่อคดีถึงที่สุด เมื่อคู่ความตกลงกันใหม่ในศาลดังกล่าวแล้ว แม้การยึดจะได้ทำตามมาตรา 254 ก็ต้องถือว่าเรื่องได้ผ่านมาตรา 254 ไปแล้วจะนำมาตรา 260 มาใช้เพื่อถอนการยึดคืนเงินให้จำเลยไปทันทีไม่ได้
ชั้นฎีกาหากคู่ความมิได้ยกประเด็นข้อใดโต้เถียงศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยซึ่งฟ้องแย้งด้วยนั้น หากแพ้คดีนอกจากจะต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมที่แพ้คดีตามฟ้องโจทก์แล้ว ศาลให้จำเลยที่ฟ้องแย้งต้องใช้ค่าฤชาธรมเนียมโจทก์ในกรณีที่ฟ้องแย้งถูกยกฟ้องนั้นด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ย่อยาว
โจกท์ฟ้องว่าจำเลยได้ตกลงซื้อขายรถยนต์ของโจทก์ราคา ๓๐,๐๐๐ บาทและได้ขอยืมไปขับทดลองและไม่ส่งคืนและไม่ชำระราคา โจทก์จึงแจ้งความต่อตำรวจ ๆ ได้ ยึดถือไว้จากจำเลยที่ ๓ ๆ อ้างว่า ซื้อจากจำเลยที่ ๒ ขอให้จเลยร่วมกันส่งมอบรถหรือชำระราคาเมื่อครบแล้ว โจทก์จะจัดการโอนทะเบียนให้จำเลย วันนั้นโจทก์ได้มอบรถให้จำลเยครอบครอง จำเลยไม่เคยยืมไปขับทดลองได้ชำระแล้ว ๑๘,๐๐๐ บาท ที่ค้างโจทก์ไม่ยอมรับชำระกลับไปแจ้งความ ตำรวจจึงเป็นการผิด จำเลยที่ ๑ ได้ขายให้จำเลยที่ ๒ ราคา ๒๕,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่าได้ซื้อกันต่อมาตามลำดับโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และจำเลยที่ ๓ ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายที่รถยนต์ถูกยึด
ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยึดรถพิพาทตามมาตรา ๒๕๔ ป.ม.วิ.แพ่งดังโจทก์ขอ
คู่ความตกลงให้ประมูลราคานำเงินค่ารถมาวางศาลในที่สุดใครชนะคดีก็มีสิทธิได้เงินนั้นไป โจทก์ประมูลได้ในราคา ๒๐,๐๐๐ บาทและได้นำเงินมาวางศาล ศาลแพ่งเห็นว่ารถเป็นกรรมสิทธิของจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง รุ่งขึ้นจำเลยที่ ๓ ขอรับเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท คำสั่งว่าให้รอคดีถึงที่สุดก่อน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งในตัวคดีและในข้อที่จำเลยที่ ๓ ขอรับเงิน
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับฎีกาจำเลยที่ ๓ นั้น ข้อความในรายงานชัดว่า ต้องรอจนกว่าคดีถึงที่สุดเสียก่อนจึงจะจ่ายเงินนี้ได้ คู่ความตกลงกันใหม่แล้ว เช่นนี้นับว่าผ่านจากกรณีตามมาตรา ๒๕๔ มาแล้ว จะนำมาตรา ๒๖๐ มาบังคับไม่ได้
ส่วนฎีกาของโจทก์เห็นว่า โจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ยืมไปทดรองขับ จึงฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ ว่าโจทก์ได้มอบรถแก่จำเลยที่ ๑แล้ว แต่จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้ยินยอมตกลงให้กรรมสิทธิ์เห็ฯด้วยศาลอุทธรณ์ว่า ทะเบียนรถยนต์หาเหมือนกับโฉนดที่ดินไม่ การซื้อขยสำเร็จต่อเมื่อได้โอยทะเบียนหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าทะเบียนรถนั้นเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถ ฉะนันการที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระราคารถให้หมดเสยีก่อนจึงจะโอนทะเบียนให้นั้น จึงเป็นเงื่อนไขตาม ป.ม. แพ่งฯ มาตรา ๔๔๙ แล้ว รูปคดีต้องฟังตามคำให้การ แต่เมื่อโจทก์มอบการครอบคอรงแล้ว จะเรียกคืนได้ก็ต้องมีเหตุผลเป็นปัญหาเรื่องผิดสัญญา ซึ่งต่างได้เถียงกันอยู่ แต่ฎีกาของทั้ง ๒ ฝ่ายต่างมุ่งรู้กันแต่ในเรื่องกรรมสิทธิ์ผ่านมือไปยังจำเลยที่ ๑ หรือไม่เท่านั้น เมื่อฟังว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่ผ่านไปยังจำเลยที่ ๑ ๆ จึงต้องแพ้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้รับโอนจากจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๓ ก็ตกไปด้วย
พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบรถให้โจทก์ แต่รถนี้คู่ความตกลงขายและให้ศาลรักษาเงินไว้ จึงให้มอบเงินนี้แก่โจทก์ไปแทนการส่งมอบรถให้จำเลยทั้ง ๓ เสียค่าฤชาธรรมเนียม ทั้ง ๓ ศาล สำหรับฟ้องให้จำเลยที่ ๓ เสียค่าฤชาธรรมเนียมด้วยพร้อมค่าทนาย ๓ ศาลด้วย